คอลัมน์ : สามัญสำนึก ผู้เขียน : สุดใจ ชาญชาตรีรัตน์
ทุกวิกฤตย่อมมีผู้สูญเสีย ขึ้นอยู่กับว่าใครจะสะสมพละกำลังความแข็งแกร่งเพื่อฝ่ามรสุมไปได้
สำหรับ “การบินไทย” แม้ว่าจะต้องล้มกระดานในช่วงการระบาดโควิด-19 แต่แท้จริงแล้วการบินไทยสะสมปัญหาแบบอมโรคมาเป็นเวลายาวนาน
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- ยูโอบี ย้ำลูกค้าบัตรเครดิตซิตี้ ยังใช้งานได้ปกติ แจงสิ่งควรรู้หลังโอนพอร์ต
- โปรดเกล้าฯ พระราชทานยศ ข้าราชการในพระองค์ฝ่ายทหาร 3 ราย
ด้วยสารพัดปัญหาและสารพัดปัจจัย ที่ทำให้หลายยุคหลายสมัยไม่มีใครสามารถปรับเปลี่ยน หรือยกเครื่อง “สายการบินแห่งชาติ” แห่งนี้ได้สำเร็จ
เมื่อ “โควิด-19” เป็นจุดเปลี่ยนทำให้สายการบินทั่วโลกตกที่นั่งลำบากเหมือน ๆ กัน เมื่อทั่วโลกล็อกดาวน์ปิดประเทศ หลายสายการบินเจอปัญหาขาดสภาพคล่องอย่างหนัก
สำหรับ “การบินไทย” ก็เช่นกัน เมื่อฝูงบินต้องหยุดให้บริการ ก็ไม่มีกระแสเงินสดที่จะเดินหน้าธุรกิจต่อไปได้
เมื่อถึงทางตันทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจส่ง “การบินไทย” ฉลองครบรอบ 60 ปี (ปี 2563) เข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ ภายใต้พระราชบัญญัติล้มละลายฯ
พร้อมกับปลดล็อกให้ “การบินไทย” พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจ ด้วยการให้กระทรวงการคลังและธนาคารออมสินลดสัดส่วนการถือหุ้นใน “การบินไทย” ให้ต่ำกว่า 50%
ทำให้การบินไทยพ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และทำให้ “สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทย” สิ้นสภาพไปด้วยตั้งแต่ 22 พ.ค. 2563
เป็นการเปิดทางสู่การฟื้นฟูกิจการให้ง่ายขึ้น เพราะการอยู่ ภายใต้ พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้บริษัทต้องรับต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรสูงกว่าคู่แข่งในสมรภูมิเดียวกัน
หลังหลุดพ้นการเป็นรัฐวิสาหกิจก็ทำให้ “ผู้บริหารแผนฟื้นฟู” สามารถทำหลาย ๆ อย่างเพื่อปลดพันธนาการเดิม ๆ ได้
ค่าใช้จ่ายบุคลากรคือเป้าหมายใหญ่ จากที่เดิมเดือนละกว่า 2 พันล้านบาท ปัจจุบันลดเหลือราว 600 ล้านบาท จากพนักงานเกือบ 30,000 คน เหลือไม่ถึง 15,000 คน แน่นอนว่าเป็นความเจ็บปวดของพนักงาน แต่ก็เป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาชีวิต
พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิภาพ ปรับเปลี่ยนวิธีการทำงาน รวมถึงวิธีการจ้างงาน โดย นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของการบินไทย ระบุว่า ปัจจุบันพนักงานลูกเรือเปลี่ยนเป็นสัญญาจ้าง 3 ปี และกำหนดอายุไม่เกิน 45 ปี เพื่อให้สอดรับกับประสิทธิภาพการทำงาน จากเดิมที่ต้องจ้างงานจนถึงอายุ 60 ปี
การเข้าฟื้นฟูกิจการ ก็เป็นเหมือนการสละ หรือตัดทิ้งทุกอย่างที่ไม่จำเป็น เพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไป
ตัดขายทุกอย่างเพื่อหากระแสเงินสดเข้ามาต่อชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินเก่า ที่ดินอาคารสำนักงานสาขา ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้งหุ้นในบริษัทต่าง ๆ
และเมื่อครบ 1 ปี หลังศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบ “แผนฟื้นฟูกิจการ” นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานคณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูฯ บมจ.การบินไทย แถลงว่า จากที่ทั่วโลกผ่อนคลายเปิดประเทศ ทำให้รายได้ของการบินไทยฟื้นตัวดีขึ้นมาก โดยเดือน มิ.ย. 2565 ทำรายได้ประมาณ 6,800 ล้านบาท และคาดว่าก.ค.นี้จะทำรายได้ระดับ 8,000 ล้านบาทต่อเดือน ทำให้ทั้งปีคาดว่าจะมีรายได้แตะ 8 หมื่นล้านบาท
ขณะที่แผนลดค่าใช้จ่ายถือว่าเป็นไปตามเป้าหมาย ทั้งการลดค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรและปรับแก้สัญญาเช่าเครื่องบิน
เมื่อแผนสร้างรายได้ทำได้ดี เมื่อ 1 ก.ค. 2565 ที่ผ่านมา คณะผู้บริหารแผนก็ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟู ทั้งปรับลดวงเงินขอสินเชื่อใหม่ไม่เกิน 12,500 ล้านบาท
รวมถึงการ “แปลงหนี้เป็นทุน” วงเงิน 37,800 ล้านบาท และขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและเจ้าหนี้ปล่อยกู้ใหม่ โจทย์สำคัญคือทำให้ส่วนทุนเป็นบวก จากปัจจุบัน “ติดลบ” อยู่ราว 7.5 หมื่นล้าน
เป้าหมายเพื่อทำให้โครงสร้างทางการเงินของการบินไทยมั่นคงแข็งแรง พร้อมออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ และกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯอีกครั้งในปี 2568
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือ “การบินไทย” จะต้องสปีดสร้างรายได้ให้ติดลมบน เพื่อให้มีกระแสเงินสดมากพอเพื่อจ่ายคืนเจ้าหนี้ ที่จะต้องเริ่มจ่ายหนี้ก้อนโตในปี 2566