การบินไทย ยื่นขอแก้ไขแผนฟื้นฟู หาสินเชื่อใหม่ไม่เกิน 12,500 ล้านบาท

การบินไทย แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เข้ายื่นขอแก้ไขแผนฟื้นฟูแล้วต่อศาลล้มละลายกลางแล้ววันนี้ กางแผนจัดหาสินเชื่อใหม่ไม่เกิน 12,500 ล้านบาท-เพิ่มทุน 31,500 ล้านหุ้น-แปลงหนี้เป็นทุน 

วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) รายงานตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ถึงความคืบหน้าในการยื่นคำรองขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หรือ THAI ว่า ตามที่ศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งให้บริษัท ฟื้นฟูกิจการและแต่งตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563 และต่อมา เมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2564 ศาลได้มีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการและแผนที่มีการแก้ไขตามมติของที่ประชุมเจ้าหนี้

โดยแผนฟื้นฟูกิจการได้กำหนดให้นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ นายพรชัย ถีระเวช นายไกรสร บารมีอวยชัย นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ และนายชาญศิลป์ ตรีนุชกร เป็นผู้บริหารแผน ทั้งนี้ คณะผู้บริหารแผน ในการประชุมครั้งที่ 25/2565 เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. 2565 ได้มีมติอนุมัติให้แก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการ และนำส่งเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันที่ 1 ก.ค. 2565

ซึ่งผู้บริหารแผนยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ กองฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ กรมบังคับคดี โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะกำหนดและแจ้งวันนัดประชุมให้แก่เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงเพื่อพิจารณาข้อเสนอขอแก้ไขเผนต่อไป

โดยการบินไทย ระบุในเอกสารแนบไปด้วยว่า จากความสำเร็จในการบริหารจัดการวิกฤติสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ของประเทศไทยที่ดำเนินมาตรการต่าง ๆ ได้อย่างชัดเจนเป็นรูปธรรมและมีประสิทธิภาพมาโดยลำดับ ตั้งแต่การนำมาตรการ Test and Go มาใช้ในการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศ การทยอยผ่อนคลายมาตรการควบคุมการเดินทางต่าง ๆ เรื่อยมา จนมาถึงการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบในวันนี้ (1 ก.ค.2565)

ประกอบกับภาพรวมของสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกที่เริ่มคลี่คลาย ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ทยอยผ่อนคลายและยกเลิกมาตรการควบคุมการเดินทางมาตั้งแต่ปลายปี 2564 เช่นเดียวกัน บริษัทจึงได้เพิ่มจำนวนเที่ยวบินและเส้นทางบินที่ให้บริการเพื่อรองรับปริมาณความต้องการเดินทางของผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการเติบโตด้านรายได้อย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 เป็นต้นมา

โดยในช่วงวันที่ 1 – 27 มิ.ย. 2565 จำนวนผู้โดยสารรวมเฉลี่ยในแต่ละวันของบริษัทและสายการบินไทยสมายล์ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 12,568 และ 12,257 คนต่อวัน จาก 269 และ 4,929 คนต่อวันในช่วงเดือน เม.ย. – เดือน ต.ค.2564

อัตราการบรรทุกผู้โดยสาร (Cabin Factor) ในส่วนของการบินไทยช่วงดังกล่าวปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 75 และมีอัตราการสำรองที่นั่งล่วงหน้าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ที่เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 ปี 2565 บริษัทได้เพิ่มจุดบินและความถี่เพื่อรองรับการพื้นตัวของปริมาณการเดินทาง ได้แก่ เดลี มุมไบ เจนไน เบงกาลูรู ละฮอร์ การาจี อิสลามาบัด ฮานอย โฮจิมินห์ พนมเปญ เมลเบิร์น ลอนดอน จาการ์ตา ธากา แฟรงก์เฟิร์ต ไทเป สิงคโปร์ โคเปนเฮเกน มิวนิก ชูริก ฯลฯ

และ ช่วงไตรมาสที่ 3 มีแผนเพิ่มความถี่เที่ยวบิน ได้แก่ จาการ์ตา ไทเป สิงคโปร์ โคเปนเฮเกน มิวนิก ชูริก โชล และเปิดให้บริการเส้นทางบินเพิ่มเติมเพื่อให้ครอบคลุมเส้นทางหลักไปยังจุดหมายปลายทางในภูมิภาคต่าง ๆ ที่สำคัญ ได้แก่ โตเกียว (สนามบิน ฮาเนดะ) บรัสเซลส์ เจดดาห์

ขณะที่รายได้จากกรขนส่งสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ของบริษัท ทั้งในส่วนของการขนส่งในเที่ยวบินโดยสารตามตารางบินและเที่ยวบินเช่าเหมาลำขนส่งสินค้ารวมในเดือน พ.ค. 2565 ที่ผ่านมา มีจำนวน 2,104 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปี 2562 คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 41

กอปรกับความสำเร็จและคืบหน้าในการฟื้นฟูกิจการส่วนอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับโครงสร้างและขนาดองค์กร ให้มีความเหมาะสมต่อสภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบิน การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นการหาประโยชน์จกทรัพย์สินครองที่ไม่ได้อยู่ในแผนดำเนินธุรกิจ ทั้งจากการจำหน่ายและให้เช่าที่สร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทรวมเป็นเงินโดยประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท ที่นำมาใช้ในการดำรงกิจการในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยไม่สร้างภาระแก่ผู้ถือหุ้นและเจ้าหนี้

การปรับลดตันทุนค่าใช้จ่ายในด้านต่าง ๆ อาทิ ต้นทุนอากาศยาน การซ่อมบำรุงอากาศยานและเครื่องยนต์อากาศยาน การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำมันเชื้อเพลงในการปฏิบัติการบิน บุคลากรและสิทธิประโยชน์บุคลากร การบริหารช่องทางการจัดจำหน่าย รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสในการหารายได้ ได้แก่ การปรับปรุงกระบวนการทำงานด้านการพาณิชย์ การปฏิรูปด้านดิจิทัล การสร้างรายได้ใหม่จากหน่วยธุรกิจการบิน

อาทิ การจัดทำความร่วมมือทงธุรกิจกับคู่ค้าที่มีศักยภาพในการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า การพัฒนาสินค้าและผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด อาทิ ปาท่องโก๋การบินไทย และการเปิดให้บริการภัตตาคาร “อร่อยล้นฟ้า” ของหน่วยธุรกิจครัวการบิน การให้บริการเที่ยวบินเช่าเหมาลำสำหรับการขนส่งสินค้าของฝ่ายพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์

การพัฒนาศักยภาพการให้บริการซ่อมบำรุงอากาศยานและเครื่องยนต์อากาศยาน ทำให้บริษัทมีระดับกระแสเงินสดในการดำเนินกิจการที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ระดับความต้องการสินเชื่อใหม่ลดลงจากเดิม

คณะผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการจึงได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ในวันนี้ (1 ก.ค. 2565) โดยมีรายละเอียดสาระสำคัญในการแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

1. จัดหาสินเชื่อใหม่แบบสินเชื่อระยะยาว (Term Loan) ไม่เกิน 6 ปี และ/หรือตราสารหนี้ที่มีอายุการไถ่ถอนไม่น้อยกว่า 6 ปี เป็นจำนวนไม่เกิน 12,500 ล้านบาท นอกจากนั้น บริษัทยังได้เตรียมการจัดหาสินเชื่อหมุนเวียน (Revolving Facility) ในวงเงินไม่เกิน 12,500 ล้านบาทเผื่อไว้อีกด้วย

2. ดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวนประมาณ 31,500 ล้านหุ้น โดยมีเป้าหมายในการทำให้ส่วนทุนเป็นบวกเพื่อทำให้โครงสร้างทางการเงินของบริษัทมีความมั่นคงและเพื่อให้หลักทรัพย์ของบริษัทสามารถกลับไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้อีกครั้ง ด้วยแนวทางต่อไปนี้

(ก) ให้สิทธิผู้สนับสนุนสินเชื่อใหม่มีสิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในจำนวนเดียวกับจำนวนหนี้สินเชื่อใหม่ที่บริษัทเบิกใช้จริง (Drawdown Amount) เป็นจำนวนเงินประมาณ 12,500 ล้านบาท

(ข) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อชำระหนี้เดิมของเจ้าหนี้ทางการเงินตามแผนด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นทั้งเจ้าหนี้ทางการเงินและผู้ถือหุ้นหลักเดิมจะได้รับชำระหนี้ด้วยการแปลงหนี้เงินต้นทั้งจำนวนเป็นทุน ในขณะที่เจ้าหนี้ทางการเงินกลุ่มอื่น ๆ และเจ้าหนี้ผู้ถือหุ้นกู้จะได้รับชำระหนี้ด้วยการแปลงหนี้เงินต้นจำนวน ร้อยละ 24.5 เป็นทุน โดยหนี้เงินต้นส่วนที่เหลือในอัตราร้อยละ 75.5 จะได้รับชำระหนี้จากกระแสเงินสดของการบินไทยตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนเดิม ซึ่งการแปลงหนี้เป็นทุนนี้จะทำให้การบินไทยสามารถมีส่วนทุนเพิ่มเติมและลดภาระหนี้ตามแผนลงได้ประมาณ 37,800 ล้านบาท

(ค) จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อร้องรับการใช้สิทธิแปลงหนี้ดอกเบี้ยตั้งพักตามแผนเป็นทุน ที่ราคา 2.5452 บาทต่อหุ้น ซึ่งทำให้การบินไทยอาจสามารถลดภาระการชำระหนี้ดอกเบี้ยตั้งพักไปได้ประมาณ 4,845 ล้านบาท

(ง) จัดสรรและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนโดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ ในราคาที่ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการเห็นสมควรและไม่ต่ำกว่า 2.5452 บาทต่อหุ้น เพื่อเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นเดิม และในกรณีที่ไม่มีผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน หรือผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนไม่เต็มจำนวน ให้นำหุ้นส่วนที่มาเสนอขายให้แก่พนักงานบริษัท และหรือ

(ง) บุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ซึ่งคาดว่าจะสามารถระดมทุนให้แก่การบินไทยเพิ่มเติมได้อีกประมาณ 25,000 ล้านบาท รวมเป็นส่วนทุนที่คาดว่าจะได้รับจากการปรับโครงสร้างหนี้และครงสร้างทุนตามข้อเสนอขอแก้ไขแผนประมาณ 80,000 ล้านบาทเศษ

โดยการบินไทยคาดหมายว่าจะสามรถดำเนินการปรับโครงสร้างทุนข้างต้นให้แล้วเสร็จภายในปี 2567 ซึ่งหากการดำเนินการเป็นไปตามข้อเสนอข้อแก้ไขแผน ส่วนของทุนจะกลับมาเป็นบวกในปี 2567 และ หลักทรัพย์ของบริษัทน่าจะสามารถกลับมาทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในปี 2568

3. แก้ไขและเพิ่มเติมรายละเอียดการแผนการชำระหนี้ของเจ้าหนี้บางกลุ่ม เพื่อให้เกิดความชัดเจน ต่อการปฏิบัติตาม และให้บริษัทมีความคล่องตัวในการดำเนินกิจการในภาวะที่อุตสาหกรรมการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิและการชำระหนี้ของเจ้าหนี้เดิมตามแผนฟื้นฟูกิจการฉบับปัจจุบัน

4. แก้ไขรายละเอียดในส่วนของผลสำเร็จของแผนฟื้นฟูกิจการส่วนที่ไม่มีความจำเป็นและไม่สอดคล้องกับบริบทและข้อเท็จจริงในปัจจุบัน

ทั้งนี้ ผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการมีความมั่นใจว่าการยื่นคำร้องขอแก้ไขแผนฟื้นฟูกิจการในครั้งนี้จะเป็นการยกระดับความเชื่อมั่นแก่เจ้าหนี้ ผู้ถือหุ้น ผู้โดยสาร ลูกค้า ต่อการฟื้นฟูกิจการของบริษัท และเป็นก้าวย่างที่สำคัญในการวางรากฐาน เพื่อการเติบโตและสร้างผลกำไรอย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคตเพื่อให้บริษัทเป็นสายการบินแห่งชาติที่คนในชาติภาคภูมิใจ เป็นสายการบินหลักที่นำรายได้เข้าสู่ประเทศ และกำลังสำคัญในการสนับสนุนและขับเคลื่อนการฟื้นตัวเศรษฐกิจของประเทศในระยะเวลาอันใกล้นี้