ชัชชาติ ผิดเท่าภูเขา

คอลัมน์ : สามัญสำนึก
ผู้เขียน : สันติ จิรพรพนิต

เป็นไปตามคาดกับ “ดราม่า” น้ำท่วม หรือน้ำรอระบายที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ฟ้าถล่มฝนตกหนักต่อเนื่อง

“ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้ว่าฯ กทม. ที่เข้ามาทำงานได้ราว ๆ 2 เดือน โดน “ฝ่ายตรงข้าม” ถล่มตามสูตร

อาทิ เอาแต่วิ่ง เอาแต่ไลฟ์ ฯลฯ แทนที่จะเอาเวลามาวางแผนแก้น้ำท่วม

กลายเป็นตรรกะแปลก ๆ เพราะคนกล่าวหาอาจลืมไปว่าการวิ่งเริ่มราว ๆ ตี 5-6 โมงเช้าก่อนเวลาทำงาน

การวิ่งหากเปรียบไปเหมือนสันทนาการของชัชชาติ คล้าย ๆ กับคนอื่นดูหนัง อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ฯลฯ ในช่วงเวลาว่างนอกเหนือการเรียน หรือทำงาน

พอเกิดกรณีน้ำท่วม เลยแขวะว่าเอาเวลา “วิ่ง” มาแก้ปัญหาเถอะ

จะว่าไปคือโดนคดี “หมั่นไส้” เพราะดูเหมือนทำเกินหน้าเกินตาคนอื่น ๆ ที่คนกรุงเทพฯคุ้นชิน

ผมเป็นคนกรุงเทพฯตั้งแต่เกิด เห็นภาพน้ำท่วมทุกปีช่วงหน้าฝน มากน้อยแล้วแต่ปริมาณน้ำ หรือการรับมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ตั้งแต่จำความได้จนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีหน้าฝนปีไหนที่ไม่เห็นน้ำท่วม หรือน้ำรอระบายหลังฝนตกหนัก

ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อเริ่มมีเสียงเชียร์ให้ก้าวขึ้นไปสู่ตำแหน่งใหญ่กว่านี้ ความหมั่นไส้ยิ่งมากขึ้น เพราะกองเชียร์ “ลุงตู่” มีมากพอสมควร

เมื่อได้จังหวะลูกเข้าเท้า เลยซัดเต็มข้อ

ไม่เพียงกรณีชัชชาติเท่านั้น แต่ทุก ๆ กรณีก็ว่าได้ หากตรงข้ามกับฝ่ายลุงตู่เมื่อไหร่ คือเป็นพฤติกรรมไม่ดีทั้งนั้น

ส่วนหากเป็นฝ่ายลุงตู่ทำอะไร หรือแปลกขนาดไหน ก็ไม่ผิดในฝ่ายกองเชียร์

ออกแบบเลือกตั้งให้ตัวเองได้แต้มต่อจาก 250 ส.ว.ก็ไม่แปลก กองเชียร์พร้อมหนุนเต็มที่ ใครออกมาวิพากษ์วิจารณ์ทำนองว่าไม่เป็นธรรม ต้องรีบสวนทันทีว่าถ้ากลัวก็ไม่ต้องมาลงเลือกตั้ง

ฟังครั้งแรกก็อึ้งไปเหมือนกัน เพราะหากเปรียบการเลือกตั้งคือแข่งกีฬา ทุกคนควรจะเริ่มที่จุดสตาร์ตเดียวกัน เช่น แข่งวิ่ง 100 เมตร ทุกคนควรเริ่มออกตัวที่จุด 0 เมตร

แต่กลับมีคนบางกลุ่มเห็นด้วยว่าให้คนที่ตัวเองเชียร์ไปอยู่ที่จุด 50 เมตรแรก ส่วนคนอื่น ๆ ต้องสตาร์ตที่จุดเริ่ม

หรือกรณี “สนช.” สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่ลุงตู่หลังรัฐประหารปี 2557 ตั้งเข้ามาทำหน้าที่แทน ส.ส. และ ส.ว.รวม 220 คน เกินครึ่งมาจากนายทหารหรืออดีตนายทหาร

สนช.ได้สิทธิประโยชน์ไม่ต่าง ส.ส.

ฝ่ายเชียร์ไม่เคยตั้งคำถามทำนองว่า ทำงานคุ้มเงินหรือไม่ สิทธิประโยชน์มากไปหรือเปล่า

เรียกว่าในสายตากองเชียร์ ลุงตู่ในฐานะนายกรัฐมนตรี ทำอะไรคือดีหมด

แต่หากเป็นนายกฯคนอื่นบริหารแบบเดียวกัน ออกนโยบายเหมือนกันชนิดเดินตามรอยเท้ามาเลย

เชื่อเถอะมุมมองจะกลายเป็นตรงข้ามทันที

ไม่ต้องอื่นไกล แผนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมทั้งรถไฟความเร็วสูง ถนน รถไฟทางคู่ สมัยชัชชาติเป็น รมว.คมนาคม มูลค่า “2 ล้านล้านบาท” ถูกเบรกหัวทิ่มด้วยข้อหาสร้างหนี้จนตายแล้วเกิดใหม่ยังใช้ไม่หมด

หรือแนะให้ทำถนนลูกรังหมดจากประเทศก่อน

แต่มายุคลุงตู่ใช้งบฯ “3 ล้านล้านบาท” คนที่เคยขวางตอนนั้น เงียบกริ๊บ

อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกันฝ่ายไม่ชอบลุงตู่ก็มีมุมมองตรงข้ามกับกองเชียร์เช่นกัน

ต่อให้แต่ละฝ่ายมีเหตุผลแค่ไหน ฝ่ายตรงข้ามก็ยากจะมองในแง่ดี

หรือให้ทำดีแค่ไหน อีกฝ่ายย่อมมองด้วยสายตาเฉย ๆ แต่ถ้าพลาดเมื่อไหร่ หรือต่อให้ไม่พลาดแค่มีมุมที่จะกระแนะกระแหนได้ก็โดนด้อยค่าเมื่อนั้น

เรียกว่าหากเป็นฝ่ายเรา ทำผิดมากก็มองว่าน้อย ทำผิดน้อยก็ว่าไม่ผิด แต่หากเป็นฝ่ายตรงข้ามผิดนิดหน่อยก็เป็นเรื่องใหญ่ได้เลย

เข้าทำนอง “ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา ความผิดตัวเราเท่าเส้นผม”

มันจึงเป็นงานยาก…ยากจริง ๆ ในการกำจัด “อคติ” ที่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายของคนไทย