IMF คาดปี 2566 จีดีพีไทยโต อัตราว่างงานต่ำสุดในโลก

อาคารธุรกิจ
Photo: Floriane Vita/unsplash

IMF คาดจีดีพีไทยเป็นบวก อัตราว่างงานต่ำสุดในโลก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเผย เป็นผลพวงนโยบายของรัฐบาลช่วงโควิด เชื่อมั่นเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว การจ้างงานเติบโตอย่างรวดเร็ว

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2565 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงกรณีที่ IMF (International Monetary Fund) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ ได้ออกรายงานคาดการณ์ GDP ปี 2023 (พ.ศ. 2566) ของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ผลปรากฏว่าประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะเติบโต โดยมี GDP เป็นบวก จาก 2.8 เป็น 3.7

ในเอเชียมีเพียงไทยและจีน (3.2 เพิ่มเป็น 4.4) เท่านั้น ที่ IMF คาดการณ์ว่า GDP จะเป็นบวก ทั้งนี้ ไม่นับฮ่องกงและมาเก๊า (ข้อมูลอ้างอิงจาก IMF ที่ได้วิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจโลก ฉบับเดือนตุลาคม 2565) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวไหลกลับเข้ามา รวมถึงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รัฐบาลได้ไปเจรจาไว้ โดยเฉพาะ EEC และเสถียรภาพทางการคลังของประเทศด้วย

นายสุชาติกล่าวว่า จากรายงานของ IMF ยังระบุว่าไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการว่างงาน “ต่ำที่สุดในโลก” แม้ในปีที่แล้วช่วงพีกของโควิด-19 ไทยมีคนว่างงานเพียงร้อยละ 1.5% ซึ่งเป็นรองเพียงคูเวตที่ 1.3% ที่มีประชากรแค่ 4 ล้านคน และรวยกว่าไทยมาก แต่ประเทศอื่น ๆ ไม่มีใครแตะเลข 1 ได้เลย ส่วนปี 2565 ลดลงมาเหลือ 1.0% จัดเป็นอันดับ 1 ของโลก และคาดว่าปี 2566 จะยังคงต่ำที่สุดของโลกได้อีก ที่ 1.0%

จากรายงานดังกล่าวถือเป็นผลพวงจากการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลภายใต้การนำของท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่รักษาการจ้างงานและดูแลภาคแรงงานให้เข้มแข็งในช่วงสถานการณ์โควิด-19 อาทิ โครงการส่งเสริมและยกระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อลดปัญหาการว่างงาน,

โครงการแฟกตอรี่ แซนด์บอกซ์ บนฐานแนวคิดเศรษฐศาสตร์และสาธารณสุข ตรวจ ควบคุม รักษา ดูแล, การเปิดจุดตรวจโควิด-19 แบบประจำจุดและตรวจเชิงรุกในโรงงาน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกจ้างให้ภาคเอกชนยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้, สนับสนุนวัคซีนให้แก่ผู้ใช้แรงงาน, จัดหาโรงพยาบาล hospitel ในเครือข่ายประกันสังคม เป็นต้น

“ผลสัมฤทธิ์จากโครงการดังกล่าวทำให้โรงงานไม่มีการปิดตัวลง ภาคการผลิตส่งออกสูงสุดในรอบ 30 ปี ที่สำคัญทำให้ดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติ อาทิ บริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้เข้าไปลงทุนทำธุรกิจใน 22 ประเทศ แต่มีเพียงสาขาในประเทศไทยเท่านั้นที่อยู่รอดในช่วงโควิด-19 ระบาด จึงตัดสินใจลงทุนในไทยเพิ่มอีก 3,600 ล้านบาท ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้เชื่อมั่นในนโยบายของรัฐบาลไทยที่ดูแลผู้ประกอบการไทยและต่างชาติอย่างเท่าเทียม ทำให้บริษัทสนใจเข้ามาเปิดตลาดใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา” นายสุชาติกล่าว