Nextstep เอ็ม พิคเจอร์ส “ขันเงิน” ต่อยอด “ธุรกิจบันเทิง” ทุกมิติ

นับเป็นข่าวใหญ่ปี 2566 ที่คนวงการบันเทิง “ขันเงิน เนื้อนวล” ผู้ก่อตั้งวงไทยเทเนี่ยม ประกาศเหมาซื้อหุ้น 92.46% บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์ เทนเม้นท์ (MPIC) ในวงเงิน 650 ล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวน 1,202,130,480 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 0.54 บาท ซึ่งแจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เรียบร้อย

ขณะที่คนวงการธุรกิจต่างตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือและความเป็นไปได้ ว่าก้าวต่อไปของ M Picture ภายใต้การบริหารของฮิปฮอปตัวพ่อจะไปในทิศทางใด ซึ่ง “ขันเงิน ไทยเทเนี่ยม” ได้เปิดใจกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ทุกซอกมุม

“ปกติผมทำธุรกิจด้านบันเทิงอยู่แล้ว แต่ไม่ได้โฟกัสเรื่องหนัง ทั้งเวย์ (ปริญญา อินทชัย) และ เดย์ (จำรัส ทัศนละวาด) เพื่อนร่วมวงก็ทำหนังมาก่อน วันนี้ก็ยังทำ ผมเลยคิดว่า ถ้ามีพาร์ตเนอร์เป็น MPIC น่าจะต่อยอดได้”

“ช่วงหลังผมจัดคอนเสิร์ตเยอะ น่าจะเกื้อหนุนสิ่งที่เราทำอยู่ โดยมีทีมที่ปรึกษาในการทำธุรกิจมาช่วยคิดและวางแผน ผมอาจไม่เก่งเรื่องหุ้นหรือตัวเลข แต่คิดว่าเป็นช่วงที่ผมจะใช้ประสบการณ์ในการสร้างโอกาสขยายธุรกิจให้เติบโตได้ในทุกมิติ”

ทีมงานของ “ขันเงิน” เล่าว่า พอดีเป็นจังหวะที่ “วิชา พูลวรลักษณ์” ซีอีโอ บมจ.เมเจอร์ฯ ต้องการหาคนที่มี strategy มาช่วยให้ MPIC ไปต่อได้ ขณะที่เมเจอร์ฯ คงมุ่งทำโรงหนังมากขึ้น ตอนนั้นเราก็สนใจแต่คู่แข่งเยอะ กลัวราคาจะเพี้ยน เลยให้ทนายทำสัญญา MOU ก่อนทำดีลดิลิเจนต์ แล้ว“ขันเงิน” ก็ตัดสินใจเปิดตัวในฐานะผู้เซ็นสัญญา พร้อมเปลี่ยนคณะกรรมการและผู้บริหารตามโครงสร้างใหม่

ส่วนตลาดในอนาคต ผู้ถือหุ้นใหม่ MPIC มองว่า คอนเทนต์จะมีบทบาทและสร้างเงินได้ทั่วโลก เทรนด์ตลาดหุ้นเป็นอีกเซ็กเตอร์หนึ่งที่มีโอกาสมาก เช่นเดียวกับธุรกิจอาหาร คาร์บอนเครดิต เฮลท์แคร์ เทคโนโลยี ต่างเป็นซอฟต์พาวเวอร์ได้ โดยใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียทั้ง Netfilx TikTok Youtube Facebook มาช่วยจุดกระแสอินไซด์เอาต์ดึงดูดชาวต่างชาติเข้ามา ซึ่งขันเงินมีความถนัดทั้งมิวสิกและภาพยนตร์

ฉะนั้น แผนของ MPIC จะเป็น think of the box จะทำธุรกิจที่ไม่เหมือนคนอื่น เพื่อหาสิ่งใหม่ ๆ มาเติมเต็มให้วงการบันเทิง คือได้ทั้งเงินและกล่อง พร้อมดึงความเป็นตัวตนของขันเงินมาเป็นจุดขาย

พร้อมสร้างโมเดลใหม่ ๆ เหมือนเอ็มพิคฯเป็นสปริงบอร์ดให้กับ “คนที่ใช่” ผลักดันให้ศิลปินคนนั้น ๆ แจ้งเกิด เพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนเก่ง มีความสามารถ เมื่อเทียบกับชาติตะวันตก ไทยเหนือกว่า แต่ไม่ได้ถูกหนุนนำในการสร้างโอกาส ขณะที่ฝรั่งมีคนเก่ง แต่เก่งจี๊ดไปเลย คือเก่งสุด ๆ แต่มีน้อยคน และดังระดับโลก

“เอ็มพิคฯ จะเป็นสปอตไลต์ให้กับศิลปินและธุรกิจ เมื่อทุกอย่างสำเร็จ เราจะแบ่งกัน ไม่มีใครเอาเปรียบใคร ผมอาจไม่เก่งธุรกิจ แต่ผมมีไอเดียจะทำให้สเกลใหญ่ขึ้น ตอนนี้ผมเหมือนคนที่โตขึ้น มีวัยวุฒิมากขึ้น” ขันเงินกล่าวถึงตัวเอง

ตามแผนธุรกิจภายใน 3 เดือนจะมีการเปิดตัวพาร์ตเนอร์จำนวนหลายราย ขณะนี้อยู่ระหว่างพูดคุย ใกล้ ๆ ไทม์ไลน์จะเห็นรูปธรรมมากขึ้น

“ตอนนี้เรากำลังทำงานหนัก เพื่อพลิก MPIC ให้เป็นมากกว่าการทำหนัง คือเป็นได้ทั้งมิวสิกและอาร์ต หรือสตรีตอาร์ต ภายใต้ไทยแลนด์ที่พร้อมก้าวสู่ระดับโลกได้ เพียงแค่ให้มีสปอตไลต์ฉายให้ถูกที่ ถูกเวลา โฟกัสให้มากขึ้น ทุกอย่างก็ไปได้ เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ทรงพลัง อยากให้อดใจรอ ที่ใคร ๆ ถามเรื่องผลประกอบการ เรื่องมูลค่าหุ้น ก็อยากเรียนว่าเราเพิ่งเริ่มต้น เพิ่งวางโครงสร้างธุรกิจใหม่ ปีหน้า 2567 คงจะได้เห็นภาพชัด”

เมื่อชีวิตต้องเป็น “นักธุรกิจ” เต็มตัว ถามว่าไลฟ์สไตล์ของ “ขันเงิน” ได้เปลี่ยนแปลงไปมากน้อยแค่ไหน

เขาตอบว่า ชีวิตยังเป็นศิลปินเหมือนเดิม เพราะนี่คือตัวตน แต่ต้องหมั่นหาความรู้มาต่อยอด และหาโอกาสในการสร้างตลาดใหม่ ๆ เพราะอายุ 46 ปีแล้ว ผ่านอะไรมาก็เยอะ ตั้งใจจะใช้ประสบการณ์มาสร้างมูลค่า เป็นครีเอทีฟ อีโคโนมี พร้อมเดินหน้าสู่อนาคตที่มีความหมาย เราไม่อยากจะกลับไปแบบไม่มีอีกแล้ว

วัฒนธรรมชาวฮิปฮอปจะมีทัศนคติในการดำเนินชีวิตรูปแบบหนึ่ง เหมือนจะง่ายแต่ก็พิถีพิถัน ทำไมแรปเปอร์ทุกคนต้องมีเสื้อผ้าแนวตัวเอง เพราะมันง่ายที่สุดแล้ว จากเสื้อยืดที่ใส่กัน เราสามารถมาสร้างแบรนด์ตัวเอง สร้างคุณค่า สร้างคอนเทนต์ได้ เวย์ก็เริ่มแบบนั้น ต่อมาก็เปิดร้านตัดผม อะไรที่ใกล้ตัวเราสามารถสร้างเป็นธุรกิจได้ คอนเสิร์ตผมก็ทำ เจ๊งมาก็เยอะ (หัวเราะ) แต่ผมได้ประสบการณ์ตรง 27 ปีกับวงการเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ถึงเวลาที่เราจะแอปพลายให้เป็นธุรกิจได้แล้ว

“ผมว่า 1+1 น่าจะได้มากกว่า 2 คือเอาความเก่ง เอาประสบการณ์ของแต่ละคนมารวมกัน แล้วสร้างเป็นจุดแข็งและจุดขาย”

“ขันเงิน” บอกว่า ชีวิตเขาเริ่มต้นทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นบินไปอยู่อเมริกาแล้ว เป็นคนชอบดนตรีฮิปฮอป ภาษาอังกฤษยังไม่แข็งแรง เลยคิดว่าอาชีพดีเจ.น่าจะเหมาะสม เพราะไม่ต้องพูดเยอะ จึงคิดจะซื้อเครื่องเล่นซีดีมาเปิดเพลง นั่นคือการลงทุนครั้งแรก เริ่มฝึกฝนสร้างวินัยมาตั้งแต่เด็ก ต้องรับผิดชอบตัวเอง หาเงินเองบ้าง ทางบ้านส่งบ้าง

แต่จุดพลิกชีวิตคือคุณพ่อเสีย ทำให้ทางบ้านขาดผู้นำ คุณแม่ต้องขายทรัพย์สินเคลียร์หนี้ คุณพ่อทำโรงเรียนอนุบาล ทำผับบาร์ ทำให้เราซึมซับเสียงเพลงตั้งแต่เล็ก หลังเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเรื่องที่บ้าน เราก็บอกตัวเอง ต่อไปจะทำอะไรต้องมุ่งมั่นตั้งใจ เพราะไม่มีอะไรแน่นอน ส่วนธุรกิจสายการบินก็เคยทำ แต่ถือหุ้นนิดเดียว ชีวิตลองถูกลองผิดมาเยอะ

ทุกวันนี้พักอาศัยอยู่ทาวน์เฮาส์แถวเอกมัย ใกล้บ้านเวย์ ไม่ได้อยู่คอนโดฯ และจะนั่งสมาธิทุกเช้าวันจันทร์ แต่เป็นคนเกิดวันเสาร์ ชอบนั่งปฏิบัติ เพราะช่วยให้จิตใจจรรโลง

สำหรับ “ความรัก” ไม่ได้โหยหา แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้น ชีวิตเคยผ่านการมีความรักมาแล้ว เหมือนเราได้แต่งงานมาแล้ว 7 ปี พอจบตรงนั้น เรารู้สึกอิ่มตัว แต่ก็มีหลาน ๆ 2 คนคลายเหงา

“มาวันนี้เรารู้แล้วว่า ความรักไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ ไม่ใช่ความรักความอยากอย่างเดียว แต่ต้องเป็น
คนที่แมตช์กับเรา ผมก็เปิดโอกาสสำหรับคนที่จะเข้ามาทำให้เราตกหลุมรักอีกครั้ง”

เหมือนที่เขากำลังตกหลุมรักในการทำธุรกิจใหม่อีกครั้ง ด้วยเงินเดิมพัน 650 ล้านบาท