10 จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในโลก สำหรับการชม “แสงเหนือ”

Lapland, Finland-AFP
Lapland, Finland-AFP

เว็บไซต์ The Travel ในสหรัฐอเมริกา จัด 10 อันดับจุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการรับชมแสงเหนือ ปรากฏการณ์ธรรมชาติอันน่าทึ่งบนฟากฟ้า ซึ่งจะปรากฏให้เห็นกันในช่วงปลายปียาวไปจนถึงต้นปีใหม่ หนึ่งสิ่งที่ใครหลายคนอยากไปสัมผัสด้วยตาตัวเองสักครั้งในชีวิต

“แสงเหนือ” หรือ แสงออโรรา บอเรลลีส (Aurora Borealis) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นเมื่ออนุภาคที่มีประจุของดวงอาทิตย์ชนกับอนุภาคก๊าซ ทำให้เกิดแสงหลากสีขึ้นบนท้องฟ้าที่ความสูงจากพื้นโลกประมาณ 100-200 กิโลเมตร บริเวณบรรยากาศชั้นบนที่อยู่ใกล้กับอวกาศ

โดยออโรราจะเกิดเป็นรูปไข่ (Oval-shape region) รอบ ๆ ขั้วแม่เหล็กของโลกและมีเส้นผ่านศูนย์กลางกว่า 3,000-5000 กิโลเมตร ซึ่งขั้วแม่เหล็กด้านเหนือของโลกนั้นอยู่บริเวณตอนเหนือของประเทศแคนาดา สถานที่ที่ดีที่สุดในการชมแสงเหนือจึงมักอยู่ในอลาสกา นอร์เวย์ ฟินแลนด์ กรีนแลนด์ ไอซ์แลนด์ สกอตแลนด์ เพนซิลเวเนีย สวีเดน และบางส่วนของแคนาดา

แสงเหนือ
AFP

ในสถานที่เหล่านี้ นักท่องเที่ยวสามารถคาดหวังได้เลยว่าจะเห็นแสงเหนือ ซึ่งช่วงเวลาจะแตกต่างกันไปในแต่ละที่ โดยปกติจะเป็นสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกันยายนถึงสัปดาห์ที่สองและสามของเดือนมีนาคม

แสงเหนือสามารถเห็นได้ดีที่สุดในพื้นที่ที่ไม่มีมลพิษและไม่มีฝน เป็นแสงเฉดสีเขียว ชมพู ฟ้า และม่วง ที่กำลังร่ายรำอยู่บนท้องฟ้า และนี่คือ 10 จุดหมายปลายทางที่ดีที่สุดในโลกสำหรับการชมแสงเหนือ

10. เมืองทรุมเซอ ประเทศนอร์เวย์

เมืองทรุมเซอ (Tromso) ตั้งอยู่ใจกลางเขตแสงออโรราอาร์กติกของประเทศนอร์เวย์ จึงเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมแสงเหนือในทุก ๆ ปี โดยใช้เวลาบินตรงจากกรุงลอนดอนเพียง 3 ชั่วโมงครึ่ง และแสงเหนือที่งดงามที่สุดจะปรากฏตั้งแต่เดือนกันยายนถึงเมษายน

The Travel แนะนำว่า นักท่องเที่ยวสามารถเข้าพักในโรงเเรม “Thon Hotel Tromsø” ที่มีจุดชมวิวบนดาดฟ้าได้ และเมืองทรุมเซอยังเต็มไปด้วยบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา มีทั้งบาร์และผับบนถนนทุกสาย นอกจากการชมแสงเหนือแล้วการนั่งสุนัขลากเลือนก็เป็นอีกกิจกรรมขึ้นชื่อของที่นี่

9. เมืองแฟร์แบงค์ อะแลสกา

เมืองแฟร์แบงค์ (Fairbanks) ในอะแลสกา ตั้งอยู่ใต้บริเวณที่มีแสงเหนือเข้มข้น ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการชมแสงเหนือที่นี่คือระหว่างเดือนสิงหาคมถึงเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถไปเเคมปิ้งที่หรูหราและสะดวกสบายได้ ซึ่งมีทั้งกระท่อมน้ำแข็งส่วนตัว (igloo) และบริการรับส่งไป-กลับเพื่อเข้าร่วมทัวร์ชมแสงออโรรา

8. แลปแลนด์ ประเทศฟินแลนด์

Lapland, Finland-AFP
Lapland, Finland-AFP

แลปแลนด์ (Lapland) เป็นอีกสถานที่หนึ่งในอาร์กติกเซอร์เคิลทางตอนเหนือสุดของประเทศฟินแลนด์ ที่นี่เป็นบ้านเกิดของซานตาคลอส นักท่องเที่ยวสามารถเห็นแสงเหนือได้ประมาณ 200 ครั้งต่อปี ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคมถึงเมษายน

รีสอร์ทบางแห่งในแลปแลนด์ยังมีกิจกรรมสำรวจล่าแสงออโรรา นักท่องเที่ยวสามารถเฝ้าดูแสงเหนือได้ในขณะขี่เลื่อนหรือเล่นสกีอยู่

7. อุทยานแห่งชาติโวยาเจอร์ รัฐมินนิโซตา

อุทยานแห่งชาติโวยาเจอร์ (Voyageurs National Park) เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขนาดกว่า 5 แสนไร่ บนชายแดนระหว่างรัฐออนแทรีโอ (Ontario) ของแคนาดา และมินนิโซตา (Minnesota) ของสหรัฐอเมริกา

โวยาเจอร์เป็นอุทยานเเห่งชาติที่เดียวในรัฐมินนิโซตาที่ถูกกำหนดให้เป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืด ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการชมแสงเหนืออย่างไม่ต้องสงสัย และช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน

6. นครเยลโลว์ไนฟ์ ประเทศแคนาดา

นครเยลโลว์ไนฟ์ (Yellowknife) ถูกขนานนามว่าเป็นเมืองหลวงออโรราของอเมริกาเหนือ เนื่องจากตั้งอยู่ใจกลางของวงรูปไข่ในการเกิดแสงเหนือ นักท่องเที่ยวสามารถชมแสงเหนือได้มากถึง 240 คืนต่อปี โดยช่วงที่งดงามที่สุดจะปรากฏตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายนถึงต้นเดือนเมษายน

นอกจากแสงเหนือแล้ว นักเดินทางยังสามารถเล่นกีฬาฤดูหนาวในเยลโลว์ไนฟ์ได้ เช่น สกีครอสคันทรี ตกปลาน้ำแข็ง และยังมีทัวร์หมู่บ้านออโรราพร้อมบริการไปรับฟรีจากโรงแรมทั่วบริเวณ

5. เมืองอิลูลิสซัต และ แคงเกอร์ลุสซวก ประเทศกรีนแลนด์

เมืองอิลูลิสซัต (Ilulissat) ประเทศกรีนแลนด์ เป็นเมืองที่มีมลภาวะทางแสงน้อยมาก ทำให้มองเห็นแสงเหนือได้ค่อนข้างสมบูรณ์แบบ โดยจะเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนถึงต้นเดือนเมษายน นักท่องเที่ยวสามารถรวมการชมแสงออโรร่าเข้ากับกิจกรรมตอนกลางวันได้ เช่น ถ้ำอาร์กติกและสุนัขลากเลื่อน

นอกจากนี้ กรีนแลนด์ยังมีเมืองแคงเกอร์ลุสซวก (Kangerlussuaq) เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางยอดนิยมเพื่อชมแสงเหนือ โดยมีโอกาสที่จะพบปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ถึง 300 ครั้งต่อปี ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงเมษายน

4. เมืองเรคยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์

Reykjavik, Iceland-AFP
Reykjavik, Iceland-AFP

เรคยาวิก (Reykjavik) เมืองหลวงของประเทศไอซ์แลนด์ สามารถพบเเสงเหนือได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมถึงมีนาคม โดยสามารถชมได้ตามสถานที่ท่องเที่ยวและอุทยานธรรมชาติต่าง ๆ ซึ่งสถานที่ที่ดีที่สุด คือ เขาเอิสคูฮลีด (Öskjuhlið) สูง 200 ฟุตเหนือระดับน้ำทะเล ใจกลางเมืองเรคยาวิกที่มีท้องฟ้าแจ่มใสและปลอดมลพิษ

3. ออร์คนีย์ ประเทศสกอตแลนด์

ออร์คนีย์ (Orkney) อยู่ห่างจากชายฝั่งทางเหนือไกลของสกอตแลนด์ 10 ไมล์ เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดในการชมแสงเหนือของสหราชอาณาจักร นักท่องเที่ยวสามารถชมแสงเหนือได้ในฤดูใบไม้ร่วง และในช่วงเย็นถึงค่ำของฤดูหนาว โดยมีสถานที่แนะนำคือหาด Dingieshowe และชายฝั่งเบอร์เซย์ (Birsay)

ออร์คนีย์ยังมีภูมิประเทศชายฝั่งที่สวยงาม และมี “Heart of Neolithic Orkney” กลุ่มอนุสรณ์สถานยุคหิน แหล่งมรดกโลกที่ถูกขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก

2. อุทยานแห่งรัฐเชอร์รี่สปริงส์ รัฐเพนซิลเวเนีย

อุทยานแห่งรัฐเชอร์รี่สปริงส์ (Cherry Springs State Park) ในรัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylvania) เป็นเขตอนุรักษ์ท้องฟ้ามืดอีกแห่งหนึ่ง ซึ่งแยกออกจากเมืองใหญ่อย่างพิตต์สเบิร์ก (Pittsburgh) และฟิลาเดลเฟีย (Philadelphia) นักท่องเที่ยวสามารถถ่ายภาพแสงเหนือที่ดีที่สุดได้ที่นี่ช่วงเดือนกันยายน นอกจากนี้ยังสามารถเห็นเนบิวลาโอเมก้าและทางช้างเผือกได้อีกด้วย

1. ยุคคัสยาร์วี สวีเดน

Jukkasjarvi, Sweden-AFP
Jukkasjarvi, Sweden-AFP

ยุคคัสยาร์วี (Jukkasjärvi) เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ บริเวณแม่น้ำทอร์น (Torne River) ทางตอนเหนือของประเทศสวีเดน ซึ่งอยู่ห่างจากอาร์กติกเซอร์เคิล 125 ไมล์ การผจญภัย ณ ที่หนาวเย็นแห่งนี้จำเป็นต้องพักค้างคืนที่โรงแรม Ice hotel ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้เพลิดเพลินกับห้องน้ำแข็ง ห้องสวีท และกระท่อมไม้ขณะชมแสงเหนือ

นักท่องเที่ยวยังสามารถจองทัวร์ถ่ายภาพยามค่ำคืนหรือไปยังสถานี Aurora Sky Station ของอุทยานแห่งชาติอาบิสโก้ (Abisko National Park) ซึ่งตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลเกือบ 3,000 ฟุต โดยสามารถห็นเเสงเหนือที่ดีที่สุดตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม