อคส.รอ ปปง.-ป.ป.ช.ชี้มูลคดีถุงมือยาง รวมคดีข้าว-มัน เสียหาย 5.4 แสนล้าน

ถุงมือยาง
Photo by Mohd RASFAN / AFP

อคส. เปิดเผยความคืบหน้าคดีถุงมือยาง ยังรอชี้มูลจาก ป.ป.ช. และ ปปง. หากชัด พร้อมทำตามกฎหมายเต็มที่ ชี้ตามอีกหลายคดีที่สร้างความเสียหายให้หน่วยงานทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง รวมถุงมือยาง เกือบ 5.4 แสนล้านบาท

วันที่ 22 สิงหาคม 2565 นายเกรียงศักดิ์ ประทีปวิศรุต ผู้อำนวยการ องค์การคลังสินค้า (อคส.) เปิดเผยว่า สำหรับคดีทุจริตโครงการจัดซื้อถุงมือยาง 500 ล้านกล่อง มูลค่า 112,500 ล้านบาทนั้น ขณะนี้รอเพียงสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลผู้กระทำผิด ถ้า ป.ป.ช.ชี้มูลได้เมื่อไร

นอกจากจะทำให้อัยการส่งฟ้องร้องดำเนินคดีอาญากับผู้กระทำผิดแล้ว สำนักงานคณะกรรมการป้องกันการฟอกเงิน (ปปง.) ก็จะสามารถดำเนินการทางแพ่ง เพื่อติดตามเงิน 2,000 ล้านบาท ที่ พ.ต.ท.รุ่งโรจน์ พุทธิยาวัฒน์ อดีตรักษาการ ผู้อำนวยการ อคส.และพวก ได้ร่วมกันถอนออกจากบัญชี อคส.ไปจ่ายเป็นค่ามัดจำถุงมือยางให้กับเอกชนคู่สัญญา ที่รับจ้างผลิตถุงมือยาง เอามาคืนให้กับ อคส.ได้

“ซึ่งต้องรอการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากต้องการอะไรเพิ่มเติมทาง อคส. ก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ นอกจากนี้ คดีความที่อยู่ภายใต้หน่วยงานที่จะต้องดำเนินการและติดตามอยู่หลายคดี ตนก็พยายามเร่งดำเนินการอย่างเต็มที่”

ฟ้องทุจริตจำนำข้าวเพิ่มอีก 37 คดี

การทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี และนาปรังปี 2554-2557 ที่ อคส.ส่งให้อัยการฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด เช่น เจ้าของโกดังและคลังสินค้า ที่ อคส.เช่าฝากเก็บข้าวในสต๊อก, โรงสี, บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าว เป็นต้น นั้น

ล่าสุดมีทั้งสิ้น 1,180 คดี ความเสียหาย 504,861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37 คดี จากช่วงก่อนหน้านี้ ที่ส่งฟ้องแล้ว 1,143 คดี รวมความเสียหาย 494,198 ล้านบาท

“ทั้ง 37 คดี เป็นการฟ้องคดีแพ่งในฐานที่เจ้าของโกดังและคลังสินค้า รวมถึงผู้ตรวจสอบคุณภาพข้าว (เซอร์เวเยอร์) ทำให้น้ำหนักข้าวในสต๊อกหายไปมากกว่าปริมาณเผื่อเหลือเผื่อขาดที่กำหนดไว้ หรือหายไปมากกว่า 1% ทำให้ อคส.เสียหายมากกว่า 500 ล้านบาท

“นอกจากนี้ ยังฟ้องร้องเจ้าของคลังสินค้าบางรายในคดีอาญาด้วย เพราะมีการยึดหน่วงข้าวที่ฝากเก็บ ไม่ยอมให้ผู้ชนะการประมูลข้าวสต๊อกรัฐช่วงที่ผ่านมา เข้าไปขนย้ายข้าวออกจากคลัง หรือโกดัง จนทำให้ผู้ชนะประมูลเสียโอกาสทางธุรกิจ และบางรายยกเลิกการซื้อ ทำให้ อคส.เสียหายอีก”นายเกรียงศักดิ์ กล่าว

ส่วนคดีที่ส่งฟ้องก่อนหน้านี้ 1,143 คดีนั้น มีทั้งที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาในชั้นศาลปกครองกลาง และศาลปกครองสูงสุด โดยมีคดีที่ตัดสินแล้ว 15 คดี อคส.ชนะเพียง 3 คดี และแพ้สูงถึง 12 คดี ซึ่งคดีที่แพ้ส่วนใหญ่ เป็นกรณีที่ อคส.ฟ้องเจ้าของคลังสินค้า ทำให้ข้าวเสื่อมสภาพ อย่างไรก็ตาม อคส.จะพยายามต่อสู้ให้ถึงที่สุด

ทุจริตมันสำปะหลัง เสียหาย 3.3 หมื่นล้าน จำคุกผู้กระทำผิด 26 คดี

ขณะที่คดีทุจริตโครงการรับจำนำมันสำปะหลังปี 51/52 ปี 54/55 และปี 55/56 นั้น ล่าสุด ส่งฟ้อง 164 คดี ความเสียหาย 20,065 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3 คดีจากก่อนหน้านี้ ที่ส่งฟ้อง 161 คดี ความเสียหาย 18,723 ล้านบาท ส่วนใหญ่จะเป็นการฟ้องร้องว่าผู้รับฝากเก็บมันสำปะหลังในสต๊อก ทำให้มันหายไปจากสต๊อก หรือเสื่อมคุณภาพ

ล่าสุด ศาลตัดสินจำคุกผู้กระทำผิดแล้ว 26 คดี โดยจะทยอยส่งฟ้องคดีที่เหลือให้เสร็จสิ้นในเร็ว ๆ นี้ เพราะ อคส.เกิดความเสียหายจากโครงการมันสำปะหลังทั้ง 3 โครงการนี้รวมประมาณ 33,000 ล้านบาท

โครงการรับจำนำสินค้าเกษตร เช่น เงาะ ลำไย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ กุ้ง ฯลฯ ตั้งแต่ปี 42/43 เป็นต้นมาอีกประมาณ 34 โครงการ ที่ยังไม่สามารถปิดโครงการได้ และ อคส.อยู่ระหว่างฟ้องร้องดำเนินคดีด้วย

ส่วนข้าวสารในสต๊อกที่เหลือล็อตสุดท้ายอีกประมาณ 200,000 ตันนั้น หลังจากเมื่อเร็ว ๆ นี้ คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้อนุมัติให้เปิดประมูลไปแล้วนั้น อคส.จะเร่งเปิดประมูลในเร็ว ๆ นี้ เพื่อให้สามารถปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวได้ทั้งหมด จากนั้นจึงจะรู้ว่า โครงการรับจำนำข้าวที่ผ่านมา ทำให้รัฐเสียหายเท่าไร เฉพาะความเสียหายจากการทุจริตที่ อคส.ฟ้องร้องก็มากกว่า 500,000 ล้านบาทแล้ว

อย่างไรก็ดี จากคดีความทั้งหมด มีมูลค่าความเสียหายของ อคส.อย่างน้อย 3 ก้อน รวม 539,861 ล้านบาท ที่ อคส.จะต้องเร่งฟ้องร้องดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด และติดตามเงินมาคืนให้กับ อคส.ให้ได้ ได้แก่ 1.ความเสียหายจากการทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง 2,000 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ย 2.ความเสียหายจากทุจริตโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี และนาปรัง 504,861 ล้านบาท

และ 3.ความเสียหายจากทุจริตโครงการรับจำนำมันสำปะหลัง 33,000 ล้านบาท ตนก็จะดำเนินการให้เต็มที่ระหว่างที่ตนทำหน้าที่อยู่ พร้อมกับการเดินหน้าหารายได้ให้กับองค์กร โดยในปี 2565 นี้ ก็คาดหวังว่าจะได้เทียบเท่าจากปีที่ผ่านมา