รัฐมนตรี RCEP ประชุมครั้งแรก เร่งรัด ฟิลิปปินส์-อินโดนีเซีย ให้สัตยาบัน

ส่งออก
Photo : Pixabay

รัฐมนตรี RCEP ประเดิมการประชุมครั้งแรกของปี หลังจากความตกลงมีผลใช้บังคับ เดินหน้าเร่งรัดการให้สัตยาบันความตกลง RCEP ของสมาชิกที่เหลือ คือ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เพื่อให้ความตกลง RCEP มีผลใช้บังคับครบทั้ง 15 ประเทศ

วันที่ 23 กันยายน 2565 นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า
นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มอบหมายให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 17 กันยายนที่ผ่านมา ณ จังหวัดเสียมราฐ ราชอาณาจักรกัมพูชา ซึ่งถือเป็นการประชุมระดับรัฐมนตรี RCEP ครั้งแรก หลังจากความตกลงมีผลใช้บังคับกับสมาชิก RCEP 13 ประเทศ ได้แก่ บรูไนฯ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา มาเลเซีย สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์

อรมน ทรัพย์ทวีธรรม
อรมน ทรัพย์ทวีธรรม

ที่ประชุมได้ยินดีกับการมีผลใช้บังคับความตกลง RCEP เมื่อวันที่ 1 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าครบรอบ 10 ปีนับตั้งแต่การประกาศเริ่มต้นการเจรจาเมื่อปี 2555 ในปีที่กัมพูชาเป็นประธานอาเซียน จนมาถึงการประชุมรัฐมนตรี RCEP ครั้งที่ 1 ในปีนี้ ซึ่งเป็นวาระของกัมพูชา ในฐานะประธานอาเซียนอีกครั้ง ซึ่งที่ประชุมได้เร่งรัดให้สมาชิกอีก 2 ประเทศคือ ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ให้สัตยาบัน เพื่อให้ความตกลง RCEP มีผลใช้บังคับครบทั้ง 15 ประเทศ ล่าสุดรัฐสภาของอินโดนีเซียได้ให้ความเห็นชอบการให้สัตยาบันแล้ว และกำลังดำเนินกระบวนการภายในที่เหลือ ก่อนที่จะยื่นสัตยาบันสารต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนต่อไป

ทั้งนี้ รัฐมนตรี RCEP เห็นร่วมกันว่า ความตกลง RCEP จะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกหลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยจะเชื่อมโยงเครือข่ายและห่วงโซ่การผลิตในภูมิภาค ดังนั้น ประเทศสมาชิกจึงได้ผลักดันให้มีการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าจากความตกลง RCEP อย่างเต็มที่ ผ่านการอบรมสัมมนาและกิจกรรมสนับสนุนอื่น ๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจการใช้ประโยชน์จาก RCEP ให้กับภาคเอกชน ผู้ประกอบการ และ SMEs

นอกจากนี้ ยังได้ติดตามและทบทวนการดำเนินงานของแต่ละประเทศให้เป็นไปตามพันธกรณีความตกลง RCEP ตลอดจนมีการจัดสรรงบประมาณและเร่งรัดการหารือกิจกรรมความร่วมมือทางเศรษฐกิจและวิชาการ เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธุรกิจให้เอื้ออำนวยต่อการทำการค้าและการลงทุนภายในภูมิภาค RCEP ให้มากขึ้น

ทั้งนี้ หลังจากความตกลงมีผลใช้บังคับจนถึงเดือน ก.ค. 2565 ไทยส่งออกไปประเทศสมาชิก RCEP มูลค่า 91,109.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 52.7% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมดของไทย ขยายตัว 8.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย. 2565) ผู้ประกอบการไทยมีการใช้สิทธิ RCEP ส่งออกไปยังประเทศสมาชิกมูลค่ากว่า 429.34 ล้านเหรียญสหรัฐ


โดยส่งออกไปยังเกาหลีใต้มากที่สุด รองลงมาคือ จีน ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย สิงคโปร์ มาเลเซีย และนิวซีแลนด์ สำหรับสินค้าที่ขอใช้สิทธิ RCEP สูงสุด อาทิ น้ำมันหล่อลื่น ปลาทูน่ากระป๋อง ทุเรียนสด มันสำปะหลังเส้น และถุงลมนิรภัยพร้อมระบบพองลม