เงินเฟ้อไทย ผ่านจุดสูงสุดแล้ว คาดทั้งปี 2565 ไม่เกิน 6.5%

ตลาด เศรษฐกิจไทย กำลังซื้อ
Photo by Manan VATSYAYANA / AFP

สนค.เผยผลวิเคราะห์เงินเฟ้อไทย ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว คาดทั้งปีขยายตัวไม่เกิน 6.5% แต่ยังต้องจับตาราคาพลังงาน น้ำท่วม เศรษฐกิจฟื้นจากการส่งออก ท่องเที่ยว

วันที่ 30 กันยายน 2565 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ 2565 โดยคาดว่าเงินเฟ้อของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในเดือน ส.ค. 2565 ที่ปรับตัวสูงขึ้นถึง 7.86% และจากนี้ไป อัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง ทำให้เงินเฟ้อช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2565 ไม่น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยปีนี้จะเพิ่มไม่เกิน 6.5% และอยู่ในกรอบที่คาดการณ์ไว้ที่ 5.5-6.5%

ทั้งนี้ เนื่องจากราคาอาหารโลกเริ่มลดลง ราคาสินค้าในประเทศทยอยเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีและขณะนี้เริ่มทรงตัวแล้ว ประกอบกับมาตรการลดค่าครองชีพของภาครัฐ ทั้งการลดค่าสาธารณูปโภค การตรึงราคาสินค้า การลดราคาสินค้า ได้มีส่วนช่วยชะลอเงินเฟ้อ และฐานของปีก่อนช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2564 เริ่มอยู่ในระดับสูง

อย่างไรก็ดี การประเมินเงินเฟ้อดังกล่าวได้มีการนำปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ไม่ว่าจะเป็นเงินบาทอ่อนค่า การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวัน การปรับขึ้นค่า Ft และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พิจารณาประกอบ

“ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงที่อาจมีผลต่อเงินเฟ้อ ทั้งราคาพลังงานที่ยังผันผวน ทั้งดีเซลและก๊าซธรรมชาติ สภาพอากาศที่แปรปรวน โดยเฉพาะสถานการณ์น้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อพืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ อาจทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นและส่งผลต่อเงินเฟ้อ แต่จะเห็นภาพชัดในเดือน ต.ค. รวมทั้งการฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศจากการส่งออกและการท่องเที่ยว ที่ทำให้มีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น และความขัดแย้งทางภูมิศาสตร์ ที่ส่งผลต่อการผลิต การค้า การขนส่ง”

นายรณรงค์กล่าวอีกว่า สำหรับรายละเอียดการวิเคราะห์ปัจจัยที่จะมีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ โดยในส่วนของเงินบาทอ่อนค่าพบว่า มีผลทำให้ราคาสินค้านำเข้าเพิ่มขึ้น เพราะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งไทยมีอุตสาหกรรมต้นน้ำน้อย แต่มีอุตสาหกรรมปลายน้ำมาก เช่น สินค้าเกษตร จึงต้องนำเข้าปุ๋ยเคมี วัตถุดิบอาหารสัตว์ จึงเป็นต้นทุน

ส่วนผลกระทบต่อเงินเฟ้อ ได้ศึกษาเป็น 3 กรณี คือ กรณีที่ 1 อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.ย.-ธ.ค. อยู่ที่ 36 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.25% กรณีที่ 2 อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.ย.-ธ.ค. อยู่ที่ 37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.28% และกรณีที่ 3 อัตราแลกเปลี่ยนเดือน ก.ย.-ธ.ค. อยู่ที่ 38 บาทต่อเหรียญสหรัฐ มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.31%

สำหรับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำรายวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 พบว่า เอกชนได้เตรียมการรับมือมาแล้ว โดยภาคการผลิตและบริการในภาพรวมมีสัดส่วนการใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำไม่สูงนัก การปรับขึ้นค่าแรงขั้นจึงส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้นจากเดิมไม่มากนัก และผู้ประกอบการมีวิธีการบริหารจัดการค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นหลายรูปแบบ ทั้งการใช้รื่อเคงจักร การลดต้นทุน ทำให้ผลกระทบต่อเงินเฟ้อจึงไม่สูงมากนัก แต่ก็ต้องจับตาดูตั้งแต่ 1 ม.ค. 2566 ที่อาจจะเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้น หากมีการปรับค่าแรงในระดับหัวหน้างาน

ส่วนการขึ้นค่า Ft ได้มีการประเมินแล้ว จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อสูงขึ้น 0.78% แต่รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนด้วยการลดค่า Ft ในระดับต่าง ๆ ตั้งแต่ใช้ไฟน้อยไปจนถึงใช้ไฟมาก ทำให้ส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นเพียง 0.25%


กรณีล่าสุดที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ยรวมเป็น 1% ผลการศึกษาพบว่า มีผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.04-0.12% และถ้าต่อไปทยอยปรับขึ้นอีกครั้งละ 0.25-1% สนค.วิเคราะห์ว่าการขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25 เป็น 1.25% จะส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.08-0.24% ขึ้นเป็น 1.50% ส่งผลต่อกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.12-0.36% ขึ้นเป็น 1.75% ส่งผลกระทบต่อเงินเฟ้อ 0.16-0.48% และขึ้นเป็น 2.00% กระทบต่อเงินเฟ้อ 0.20-0.80%