สต๊อกน้ำมันปาล์มท่วมประเทศ กนป.หนุนเอกชนเร่งส่งออก 1.5 แสนตัน

น้ำมันปาล์ม

สต๊อกปาล์มทะลุ 3.04 แสนตัน กนป.ไฟเขียวเร่งส่งออก 1.5 แสนตัน ขีดเส้นในสิ้นเดือน ธ.ค. 65 รัฐจ่ายชดเชยเอกชน กก.ละ 2 บาท คู่ขนานโครงการประกันรายได้ปาล์ม ปี 4 หวังรับมือผลผลิตปาล์มทะลักปี’66 วงการปาล์มตั้งข้อสังเกตกระบวนการสรรหา เปลี่ยนตัว 3 กรรมการใหม่เสียบแทน วาระ 2 ปี

ผู้สื่อข่าว “ประชาชาติธุรกิจ” รายงานว่า พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) ครั้งที่ 3/2565 เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2565 มีมติเห็นชอบให้เปิดตลาดน้ำมันปาล์มและน้ำมันเนื้อในเมล็ดปาล์ม

โดยขยายระยะเวลาดำเนินการโครงการผลักดันการส่งออกน้ำมันปาล์มเพื่อลดผลผลิตส่วนเกิน ปี 2565 เป้าหมาย 150,000 ตัน สิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565 และขยายระยะเวลาโครงการให้สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2566 สำหรับงบประมาณที่ใช้คาดว่าจะเท่างบประมาณสนับสนุน 309 ล้านบาท

แบ่งเป็นเงินชดเชยให้กับส่งออก 300 ล้านบาท สนับสนุนค่าบริหารจัดการสำหรับการส่งออก ในอัตรากิโลกรัมละ 2 บาท เช่น ค่าขนส่ง ค่าคลังจัดเก็บ ค่าปรับปรุงคุณภาพ ค่าเอกสารและค่าธรรมเนียมต่าง ๆ

และค่าใช้จ่ายสำหรับดำเนินโครงการให้กับหน่วยงานราชการอีก 9 ล้านบาท สำหรับผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ที่ประกอบธุรกิจเป็นผู้ผลิต ผู้ใช้ ผู้ค้า ผู้จัดเก็บ หรือผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มหรือผลิตภัณฑ์จากน้ำมันปาล์ม

ทั้งยังเห็นชอบโครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวสวนปาล์มน้ำมัน ปี 2565/2566 ตามหลักเกณฑ์เดิม กก.ละ 4.00 บาท โดยเริ่มจ่ายเงินชดเชยประกันรายได้งวดแรกให้แก่เกษตรกร ตั้งแต่ ก.ย. 65 เพื่อให้มีความต่อเนื่อง จากโครงการปี 2564/2565

โดยจะนำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป และเร่งรัดการติดตั้งเครื่องวัดปริมาณน้ำมันปาล์มให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อเร่งช่วยเหลือเกษตรกร การแก้ปัญหาและป้องกันราคาปาล์มน้ำมันตกต่ำ

“สถานการณ์ปาล์มน้ำมันและน้ำมันปาล์มตลาดโลก ได้รับผลกระทบจากมาตรการอินโดนีเซียประกาศยกเลิกภาษีส่งออกสำหรับผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มทั้งหมด ส่วนสถานการณ์ความต้องการใช้น้ำมันดิบในประเทศ คาดว่าความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบในภาคบริโภคและอุตสาหกรรมจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 0.09 ล้านตันต่อเดือน

เนื่องจากภาวะการค้าและการบริโภคยังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ในขณะที่ภาคพลังงานปรับเพิ่มขึ้นหลังจากมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เมื่อวันที่ 27 กันยายน 2565 เห็นชอบให้เพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก บี 5 เป็น บี 7 มีผลตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม ถึง 31 ธันวาคม 2565”

แหล่งข่าวจากวงการปาล์มน้ำมันระบุว่า ที่ประชุมได้มีมติสำคัญเรื่องการขยายตลาดส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ เป็นผลจากปัจจุบันสต๊อกปาล์มน้ำมันเพิ่มขึ้นเป็น 304,000 ตัน จากเดือนกันยายนที่มีประมาณ 300,000 ตัน สูงขึ้นจากเดือนสิงหาคมที่มี 270,000 ตัน

จึงมีมติให้เร่งส่งออกโดยมีเป้าหมายว่าจะต้องส่งออกให้ได้ 150,000 ตัน ภายใน 31 ธันวาคม 2565 ซึ่งรัฐบาลจะเตรียมงบประมาณชดเชยให้กับผู้ส่งออกราว 300 ล้านบาท

“การดำเนินการเรื่องการผลักดันการส่งออกจะทำคู่ขนานไปกับการดำเนินโครงการประกันรายได้ปาล์มน้ำมันปี 2565/2566 เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาผลปาล์มน้ำมัน ซึ่งเป็นไปตามที่ก่อนหน้านี้ ทาง พล.อ.ประวิตรได้เดินทางไปพบกับเกษตรกรที่ภาคใต้ ซึ่งได้ขอให้ยกระดับราคาผลปาล์มให้ได้ กก.ละ 10 บาท

เพราะชาวสวนมีต้นทุนปุ๋ยสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนการปลูกสูงขึ้น กก.ละ 5 บาทแล้ว ราคาซื้อในประเทศลดลง เหลือแค่ 4-5 บาท ทางรองนายกฯพิจารณาแล้วบอกว่า ราคา 10 บาทสูงเกินไป ขอเป็น กก.ละ 7-8 บาท จะเป็นราคาที่สมดุลที่สุด ส่วนประกันรายได้ถือเป็นโครงการที่เป็นผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ร่วมรัฐบาลต้องคงไว้ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้เพราะราคาประกันต่ำกว่าราคาตลาด”

พร้อมกันนี้ กนป.ยังพิจารณาแต่งตั้งคณะกรรมการ กนป.ชุดใหม่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าในการแต่งตั้งกรรมการรอบนี้ ได้มีการปรับรูปแบบการสรรหา โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอรายชื่อผู้สมัครเข้ารับตำแหน่ง กรรมการ กนป. ให้กับคณะกรรมการสรรหา ซึ่งมี พล.อ.ธรรมศักดิ์ เป็นประธาน คัดเลือกก่อน จากนั้นจะตัดรายชื่อบุคคลบางรายชื่อออก

ระบุว่า “คัด” แล้ว จึงเสนอให้ กนป.แต่งตั้ง ผลคือ มีการคัดสรรกรรมการในส่วนของชาวสวนใหม่เข้ามาแทนชุดเดิม 3 คน ประกอบด้วย นายวิโรจน์ เพชรร่วง ตัวแทนจากชาวสวน จ.กระบี่ นายสุทธิพันธ์ นุรักษ์ ตัวแทนชาวสวนจาก จ.นครศรีธรรมราช และนายวิรัตน์ ธรรมบำรุง ตัวแทนเกษตรกรชาวสวนจาก จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนกรรมการจากสภาเกษตรกรแห่งชาติยังเป็นคนเดิมคือ นายพันศักดิ์ จิตรรัตน์ ตัวแทนจากสภาเกษตรกรแห่งชาติ โดยจะมีวาระดำรงตำแหน่ง 2 ปี

“เรื่องการเปลี่ยนแปลงวิธีการสรรหา เป็นเรื่องที่มีการตั้งข้อสังเกตกันว่าเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะมีผลเชื่อมโยงกับการวางนโยบายปาล์มน้ำมันในอนาคต เพราะคาดว่าปี 2566 จะมีผลผลิตปาล์มน้ำมันออกมาเพิ่มขึ้นจากปีนี้ เพราะเกษตรกรเพิ่มพื้นที่ปลูกจาก 5 ล้านไร่ เป็น 6-7 ล้านไร่แล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไป คณะกรรมการชุดใหม่จะต้องมาพิจารณาหลักเกณฑ์ปริมาณสต๊อกปาล์มน้ำมันเพื่อความมั่นคงของปี 2566 ว่าจะให้เป็น 1.5 เท่า

ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ หรือ 300,000 ตัน ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเท่าไร ใช้สูตรอะไร แต่สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ว่าใครมาทำหน้าที่ต้องมีการดูแลเรื่องคุณภาพผลปาล์ม เรื่องการเพิ่มเปอร์เซ็นต์น้ำมัน และการขายปาล์มที่มีลูกร่วง”