วิกฤตราคาน้ำมันปาล์ม คลี่คลายใน 1-2 เดือน หลังอินโดนีเซียยกเลิกห้ามส่งออก

น้ำมันปาล์ม

สนค.คาดวิกฤตด้านราคาน้ำมันปาล์มจะคลี่คลายลงในอีก 1 – 2 เดือนข้างหน้า หลังอินโดนีเซียกลับลำนโยบายหันมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง

วันที่ 9 มิถุนายน 2565 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์หลังอินโดนีเซีย ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 นั้น สนค.ประเมินว่า

แม้ว่าอินโดนีเซียจะเริ่มส่งออกน้ำมันปาล์มได้อีกครั้ง แต่คาดว่าราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกจะยังคงทรงตัวระดับสูงในระยะสั้น โดยวิกฤตด้านราคาน่าจะคลี่คลายลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้า เมื่ออุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่

โดยคาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้ เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มส่วนหนึ่งที่เกษตรกรเก็บไว้ในช่วงที่มีประกาศห้ามส่งออก เมื่อรวมกับผลผลิตปัจจุบันด้วยแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่าจะมีอุปทานน้ำมันปาล์มเข้าสู่ระบบมากขึ้น

ปัจจุบันอินโดนีเซียมีการเก็บสต๊อกน้ำมันปาล์มอยู่แล้วประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ความสามารถ
ในการกักเก็บเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 6-7 ล้านตัน ซึ่งจะเต็มความจุภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องหันกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง เพราะหากยังไม่มีการส่งออก ก็จะไม่มีการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในช่วงถัดไป เมื่อผลผลิตล้นตลาดและไม่มีสถานที่เก็บสต๊อกจะเกิดการเน่าเสีย

นอกจากเหตุผลในด้านปริมาณส่วนเกินในตลาดอินโดนีเซียแล้ว การเก็บสต๊อกน้ำมันปาล์มเป็นเวลานาน ยังส่งผลให้น้ำมันปาล์มเสื่อมคุณภาพลงอย่างรวดเร็วด้วย ทั้งนี้ จากสถิติด้านการผลิตและการบริโภคน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซีย พบว่า อินโดนีเซียมีความสามารถในการผลิต 4 ล้านตันต่อเดือน ใช้บริโภคในประเทศเพียง 1.5 ล้านตันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกส่งออกในปริมาณ 2.5 ล้านตันต่อเดือน ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าปริมาณน้ำมันปาล์มส่วนเกิน เหล่านี้ และความสามารถในการเก็บสต๊อกที่มีอยู่อย่างจำกัด

เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง แต่ราคาอาจยังไม่ลดลงในทันที เนื่องจากข้อบังคับของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ยังกำหนดเพดานการส่งออกเพื่อป้องกันการขาดแคลนในประเทศ ขณะเดียวกัน ในด้านอุปสงค์ของผู้นำเข้าจากอินเดีย จีน และสหภาพยุโรป ต่างคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันปาล์มในอนาคตจะอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผู้นำเข้าส่วนหนึ่งชะลอการนำเข้าเพื่อรอราคาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ได้ชี้ให้เห็นถึงภาวะตลาดของน้ำมันปาล์มของไทย ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 พบว่า ประเทศไทยมีสต๊อกของน้ำมันปาล์มต่อเดือนอยู่ที่ระดับ 190,000-200,000 ตัน

ซึ่งนอกจากจะเพียงพอต่อความต้องการในประเทศแล้ว ไทยยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้ ให้แก่เกษตรกรและประเทศได้อีกด้วย โดยตลาดส่งออกหลักของไทย คือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าส่งออกในสัดส่วน 74.7% ของการส่งออกน้ำมันปาล์มทั้งหมดของไทยในไตรมาสแรก ปี 2565

ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทย อยู่ที่ 54-55 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียที่ 55-56 บาทต่อลิตร นอกจากนี้การตึงตัวของอุปทานน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เป็นโอกาสการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยที่จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์กล่าวอีกว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบ ทั้งเกษตรกรและโรงกลั่น พร้อมทำความเข้าใจกับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความสมดุลของราคาที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ราคาดีที่สุด และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิด
ปัญหาการขาดแคลนในประเทศในระยะยาวต่อไป

ทั้งนี้ จากสถิติราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในปี 2564 พบว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบกึ่งบริสุทธิ์อยู่ที่ขวดละ 54-55 บาท ขณะที่ปัจจุบัน (พฤษภาคม 2565) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 68 บาท สืบเนื่องจากราคาเฉลี่ยของผลปาล์มดิบปรับเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 6.5 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2564 เป็น 9.6 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565

การขยับขึ้นของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เกิดขึ้นจาก 4 สาเหตุหลักคือ 1) การฟื้นตัวของความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดอินเดีย 2) มาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มของ
อินโดนีเซียเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในประเทศ โดยในปี 2565 ได้ออกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มแล้ว 2 ครั้ง คือเดือนมกราคม – มีนาคม และเดือนพฤษภาคม

3) ผลกระทบด้านพลังงานที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันปาล์มผสมเป็นไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นในฐานะพลังงานทดแทน และ 4) ผลกระทบจากภัยแล้งในแอฟริกาใต้ทำให้ปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองลดลง ภาคการผลิตอาหารส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องหันมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกมากขึ้น