ทียู ปี’65 กวาดยอดขาย 1.56 แสนล้าน ตั้งเป้าปี’66 โต 5-6%

ธีรพงศ์ จันศิริ
ธีรพงศ์ จันศิริ

ทียู อัดงบฯลงทุน 6.5 พันล้าน ตั้งเป้าปี 2566 เติบโต 5-6% จากปี 2565 ทะลุ 1.56 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ปันผลทั้งปี 0.84 บาท/หุ้น ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง-อาหารกระป๋องโตแข็งแกร่ง สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเหลือ 0.54 เท่า

วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2566 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2566 ไทยยูเนี่ยนตั้งเป้าการเติบโตของยอดขายในปี 2566 อยู่ที่ระดับ 5-6% โดยประมาณ และเพิ่มงบฯลงทุนอยู่ที่ 6,000-6,500 ล้านบาท

แม้ว่าเราจะยังคงเห็นภาวะเงินเฟ้อในทุกภูมิภาคทั่วโลกที่ไทยยูเนี่ยนดำเนินธุรกิจอยู่ แต่ผมเชื่ออย่างยิ่งว่า การที่ไทยยูเนี่ยนมุ่งมั่นและให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ทางธุรกิจในระยะยาว ตลอดจนวินัยทางการเงิน และการให้ความสำคัญกับความหลากหลายทางธุรกิจ จะทำให้ธุรกิจของเราเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต

ส่วนผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ด้วยยอดขายทั่วโลกที่โดดเด่นจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารทะเลบรรจุกระป๋องที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคที่ยังให้ความไว้วางใจในไทยยูเนี่ยนและผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องของสุขภาพและโภชนาการ

ผลงานในไตรมาสสุดท้ายของปีมียอดขาย 39,613 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% และกำไรจากการดำเนินงาน 2,384 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 20.6% ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนเผยยอดขายตลอดปี 2565 เพิ่มขึ้น 10.3% อยู่ที่ 155,586 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27,206 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ขณะที่กำไรสุทธิประจำปี 2565 อยู่ที่ระดับ 7,138 ล้านบาท ลดลง 10.9% แต่บริษัทยังสามารถจ่ายปันผลครึ่งปีหลังอยู่ที่ 0.44 บาทต่อหุ้น ทำให้เงินปันผลตลอดปีอยู่ที่ 0.84 บาทต่อหุ้น และบริษัทยังคงจ่ายอัตราเงินปันผลตอบแทนในระดับดีต่อเนื่องอยู่ที่อัตรา 5.3%

ในปี 2565 ยอดขายจากธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องเพิ่มขึ้น 12.8% จากราคาขายที่เพิ่มขึ้นและความต้องการสินค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเอเชียและสหรัฐอเมริกาที่มีการปล่อยสินค้านวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ตรงใจผู้บริโภค สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงทำผลงานได้ดี ด้วยยอดขายที่เพิ่มขึ้น 48.0% จากปี 2564 อยู่ที่ 21,693 ล้านบาท จากความต้องการอาหารสัตว์ที่พุ่งสูงและราคาขายที่เพิ่มขึ้น

“ในปีที่ผ่านมาไทยยูเนี่ยนมีผลประกอบการที่แข็งแกร่งและยอดขายที่ทำสถิติสูงเป็นประวัติการณ์ แม้ว่าเราจะอยู่ท่ามกลางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อและอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราที่มีความผันผวน ธุรกิจหลักของเรายังคงเป็นหัวใจสำคัญ

ในขณะเดียวกันเราก็ยังต่อยอดธุรกิจให้ผลิตภัณฑ์มีความหลากหลายเพื่อดึงดูดลูกค้าทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา เรายังคงพัฒนาธุรกิจเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจส่วนประกอบอาหาร อาหารเสริม และโปรตีนทางเลือก ทำให้เราสามารถขยายธุรกิจไปยังผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ที่เน้นนวัตกรรมและจะมีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจในอนาคต”

ธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมีบทบาทอย่างมากในยอดขายของบริษัทในปี 2565 โดยมีสัดส่วนถึง 43% ของรายได้ทั้งหมด ตามมาด้วยธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 36% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 14 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2564 และธุรกิจเพิ่มมูลค่าและอื่น ๆ อีก 7% ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเติบโตอย่างรวดเร็วและมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยนในปีที่ผ่านมา

โดย บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยถือเป็นหุ้นไอพีโอที่มีมูลค่าการเสนอขายสูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นไทย และยังเป็นปัจจัยสำคัญในการลดลงของอัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนของ
ไทยยูเนี่ยนให้อยู่ที่ระดับ 0.54 เท่า ณ สิ้นปี 2565 เปรียบเทียบกับปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 0.99 เท่า

นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีธุรกิจกระจายตัวอยู่ทั่วโลก โดยสัดส่วนยอดขายตามภูมิภาคมีดังนี้ สหรัฐอเมริกาและแคนาดาอยู่ที่ 44% ยุโรป 26% ประเทศไทย 11% และภูมิภาคอื่น ๆ 19%

ในปี 2565 ไทยยูเนี่ยนยังมีการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุน 10 ล้านเหรียญแคนาดาในบริษัท มาร่า รีนิวเอเบิลส์ คอร์ปอเรชั่น หนึ่งในบริษัทผู้นำการผลิตผลิตภัณฑ์ชีวภาพจากสาหร่ายที่มีการเพาะเลี้ยงขึ้นอย่างยั่งยืนของโลก

ไทยยูเนี่ยนติดอยู่ในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ เป็นปีที่ 9 ติดต่อกัน และได้อันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหาร นับเป็นผลสืบเนื่องจากการดำเนินงานด้านความยั่งยืนของบริษัทอย่างต่อเนื่องตามกลยุทธ์ความยั่งยืนหรือ SeaChange® และด้วยแนวทางของบริษัทในการดูแลความเป็นอยู่ของผู้คน ไปพร้อมกับการดูแลท้องทะเลให้อุดมสมบูรณ์ ไทยยูเนี่ยนยังได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับองค์กรการประมงเพื่อความยั่งยืน Sustainable Fisheries Partnership (SFP) เพื่อเดินหน้าพัฒนาความโปร่งใสในห่วงโซ่อุปทานของบริษัท