สงกรานต์ 66 สะพัด 1.25 แสนล้าน บวกเลือกตั้ง 1.2 แสนล้าน ดันจีดีพีโต 3-4%

สงกรานต์

ฝุ่น PM 2.5-โควิด ไม่สะเทือนสงกรานต์ปี 2566 เงินสะพัด 1.25 แสนล้าน พ่วงเลือกตั้งสะพัดต่ออีก 1.2 แสนล้าน ดันจีดีพีไทยโต 3-4% ประชาชน 90% ไปเลือกตั้งแน่ ขอให้แก้ปัญหาปากท้อง คอร์รัปชั่นด่วน นักวิชาการแนะตั้งรัฐบาลเร็ว เร่งงบประมาณปี 2567 หวั่นเกิดสุญญากาศช่วงไตรมาส 3-ไตรมาส 4 ขอให้เร่งใช้งบฯต่อเนื่อง

วันที่ 4 เมษายน 2566 รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2566 จะขยายตัว 3-4% จากปี 2565 ในช่วงสงกรานต์จะมีการจับจ่ายสะพัด 125,000 ล้านบาท ซึ่งสูงเทียบเท่ากับปี 2559 ที่มีเงินสะพัด 124,542 ล้านบาท

“สงกรานต์ในปีนี้จะกลับมาคึกคักมากขึ้น คนมีแนวโน้มจะใช้จ่ายมากขึ้น แต่จะเพิ่มอย่างมีความระมัดระวังในเรื่องของการจับจ่ายอยู่บ้าง แต่ก็มองว่าเงินสะพัดในช่วงสงกรานต์ที่เพิ่มขึ้นมาจากปีก่อน 20,000 ล้านบาท จะมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ บวกกับผลดีจากการเลือกตั้งจะเข้ามาเสริมอีก 1-1.2 แสนล้านบาท ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว 3-4%ได้”

โดยเป็นที่น่าสังเกต จากการสำรวจเบื้องต้น ประชาชนกว่า 90% ตัดสินใจว่าจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างสถิติการเลือกตั้งให้กับประเทศไทยอีกครั้ง และมีเม็ดเงินเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 50,000-60,000 ล้านบาท เฉพาะเม็ดเงินในการหาเสียงซึ่งจะทำให้เงินสะพัดรวมกว่า 100,000-120,000 ล้านบาทแล้ว

แนะเร่งตั้งรัฐบาลใหม่ ดันงบปี 2567

รศ.ดร.ธนวรรธน์ย้ำว่า หลังการเลือกตั้งควรจะเร่งในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็ว เพื่อที่คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาวาระเรื่องงบประมาณปี 2567 ภายในเดือนสิงหาคมจะต้องมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยยังห่วงว่าการใช้งบประมาณของปี 2567 จะเกิดสุญญากาศในช่วงไตรมาส 2, 3 หากมีการจัดตั้งรัฐบาลล่าช้าจะทำให้เกิดสุญญากาศทางเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งใช้งบประมาณปีเก่าไปพลางก่อนในช่วงไตรมาส 4 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในโครงการลงทุนที่ผูกพันต่อเนื่อง พร้อมทั้งให้แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและการแก้ไขปัญหาเรื่องคอร์รัปชั่นตามที่ประชาชนเสนอ

จับตาเศรษฐกิจโลก-ราคาน้ำมันทุบส่งออก

อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 2 เป็นต้นไปต้องติดตามปัจจัยความท้าทายจากภายนอก โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ปัญหาจากโอเปกปรับลดกำลังการผลิต จะทำให้ราคาพลังงานในตลาดโลกปรับสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบอาจจะขยับขึ้นเป็น 80-90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ไม่น่าจะถึง 100 เหรียญสหรัฐ เพราะหากปรับราคาน้ำมันขึ้นไปสูงก็จะกระทบต่อการจับจ่ายและกำลังซื้อ ทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยเฉพาะในตลาดส่งออก ผลกระทบต่อการส่งออก การส่งออกชะลอ

ซึ่งทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยยังมองว่าส่งออกจะทำได้ 1% เศรษฐกิจจะขยายตัว 3.6% เป็นไปตามกรอบเดิม แปลว่าการส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์จะติดลบ 4% โดยยังคงเฝ้าจับตาในช่วงครึ่งปีหลังก่อนจะมีการทบทวนตัวเลขคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ที่ก่อนหน้านี้ประเมินว่าส่งออกจะอยู่ที่ 0-1% และได้ปรับมาเป็นติดลบ 1% ถึง 0%

คนไทยแห่เล่นสงกรานต์

รศ.ดร.เสาวณีย์ ไทยรุ่งโรจน์ ที่ปรึกษาประจำสภามหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลโพลพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 จากกลุ่มตัวอย่าง 1,350 คน กระจายในทุกเจเนอเรชั่นและทุกภาค พบว่ามุมมองประชากรในเจเนอเรชั่น Z และ Y ส่วนใหญ่เห็นว่าสงกรานต์คือการเล่นน้ำ ส่วนกลุ่มเจเนอเรชั่น Z มองว่าสงกรานต์จะเป็นโอกาสในการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ โดยกิจกรรมหลักที่จะทำคือ ทำบุญ เล่นน้ำ และสังสรรค์

“ส่วนใหญ่ 72% มีแผนเดินทางไปท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนา ซึ่งแผนการท่องเที่ยวส่วนใหญ่ไปเช้าเย็นกลับด้วยรถยนต์ส่วนตัว จังหวัดที่ได้รับความสนใจมากที่สุดคือ จังหวัดชลบุรี, เพชรบุรี, ประจวบคีรีขันธ์ และระยอง แต่ละคนเตรียมเงินท่องเที่ยวภายในประเทศไว้เฉลี่ยคนละ 7,091 บาท

ส่วนกลุ่มที่มีแผนเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ เตรียมเงินไว้เฉลี่ยคนละ 54,681 บาท ส่วนใหญ่มีที่มาของการใช้เงินจากเงินเดือน ประชาชนมีความกังวลกับสถานการณ์โควิด-19 และฝุ่น PM 2.5 มีผลให้ยกเลิกการท่องเที่ยวเพียง 10% เท่านั้น โดยส่วนใหญ่ 50-55% ยังคงท่องเที่ยว เพียงแต่ปรับเปลี่ยนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล และภาคกลางมากขึ้น”

สะพัดเลือกตั้ง 1.2 แสนล้านเสริม

นางอุมากมล สุนทรสุรัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ภาพรวมเงินสะพัดในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 อยู่ที่ 125,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.3% จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 106,772 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 20,000 กว่าล้านบาทนั้น คิดเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 0.5-0.7% อย่างไรก็ตาม ถือว่าปรับลดลง 7.8% หากเทียบกับปี 2562 ที่มีมูลค่า 135,837 ล้านบาท โดยประชาชนส่วนใหญ่มองว่า GDP ปี 2566 จะขยายตัว 2.5 ถึง 3%

พร้อมกันนี้ยังได้มีการสอบถามเรื่องเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2566 โดยประชาชนส่วนใหญ่มองว่าควรจะมีการกระจายรายได้ให้กับประชาชน แก้ปัญหาปากท้อง การช่วยเหลือค่าครองชีพ ลดความเหลื่อมล้ำ แก้ปัญหาการคอร์รัปชั่น รวมถึงปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นปัญหาลำดับต้น ๆ ที่ต้องเร่งแก้ไข