สต๊อกปุ๋ยในประเทศ 3 เดือนแรกสูงถึง 1.36 ล้านตัน มีเพียงพอ

สต๊อกปุ๋ย
แฟ้มภาพ

กรมการค้าภายใน หารือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ 4 สมาคมปุ๋ย ติดตามราคาและปริมาณปุ๋ย ยืนยันมีเพียงพอ ไม่ขาดแคลน สต๊อกล่าสุดสูงถึง 1.36 ล้านตัน มากกว่าปีก่อน 50% และแนวโน้มราคาปรับตัวลดลงต่อเนื่อง

วันที่ 11 เมษายน 2566 ร.ต.จักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมได้เชิญกรมส่งเสริมการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมวิชาการเกษตร สมาคมการค้าปุ๋ยและธุรกิจการเกษตรไทย สมาคมการค้าผู้ผลิตปุ๋ยไทย สมาคมคนไทยธุรกิจเกษตร และสมาคมธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์และชีวภาพไทย เพื่อมาหารือและติดตามถึงสถานการณ์การผลิต การนำเข้า การจำหน่าย และการใช้ปุ๋ยเคมี

ภายหลังการประชุม ทุกฝ่ายยืนยันตรงกันว่าปุ๋ยเคมีจะไม่มีปัญหาการขาดแคลนอย่างแน่นอน โดยสต๊อก ณ วันที่ 31 มี.ค. 2566 อยู่ที่ 1.36 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่การนำเข้าวัตถุดิบ เพื่อนำมาผลิตปุ๋ยมีมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีปัญหาทั้งการจัดหาและปริมาณการนำเข้า ซึ่งเป็นผลมาจากการเชื่อมโยงระหว่างผู้ซื้อกับผู้ซื้อรายสำคัญ เช่น ซาอุดีอาระเบีย ก่อนหน้านี้ และปัญหาที่เคยเป็นข้อจำกัดในการนำเข้าลดลง อย่างการนำเข้าจากแหล่งผลิตในจีน ไม่มีปัญหา การขนส่งไม่มีปัญหา

นอกจากนี้ การซื้อปุ๋ยจากแหล่งผลิตสำคัญ เช่น รัสเซียและเบลารุส ที่เคยได้รับผลกระทบจากสงคราม ก็ไม่มีปัญหา ทำให้ข้อจำกัดที่เคยเป็นอุปสรรคบรรเทาเบาบางลงไปหมด รวมถึงการขึ้นทะเบียน การออกใบอนุญาตนำเข้า ก็มีการดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนสถานการณ์ด้านราคา พบว่า ขณะนี้ราคาวัตถุดิบในตลาดโลก มีการปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยปุ๋ยยูเรีย 46-0-0 ราคาลดลงแล้วประมาณ 44% เมื่อเทียบกับช่วงที่เคยขึ้นไปสูงสุด และแอมโมเนียมฟอสเฟต ราคาลดลงประมาณ 37%

ส่วนปุ๋ยสูตรอื่น ๆ เช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 และสูตร 16-20-0 ก็ปรับลดลงต่อเนื่อง และแนวโน้มคาดว่าจะลดลงได้อีก ตามสถานการณ์วัตถุดิบตลาดโลกที่ลดลง ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับเกษตรกรไทย ที่กำลังจะเข้าสู่ฤดูกาลเพาะปลูกตั้งแต่เดือนพ.ค. 2566 เป็นต้นไป

“ปีนี้คาดว่าปริมาณการใช้ปุ๋ยเคมีจะเพิ่มขึ้น เพราะผลผลิตทางการเกษตรสำคัญ ทั้งข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง มีราคาดี แต่ราคาปุ๋ยแนวโน้มลดลง ทำให้การใช้เพิ่มขึ้น และขอยืนยันว่า สินค้าอื่น ๆ แม้จะมีขึ้นมีลง แต่สำหรับปุ๋ยเคมี ตอนนี้มีแต่ลงกับลง ถ้าเกิดใครพบเห็นการฉวยโอกาสปรับขึ้นราคา หรือเอารัดเอาเปรียบ ให้แจ้งสายด่วน 1569 กรมจะเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการทันที และผู้กระทำผิด จะมีโทษหนัก จำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ”

นอกจากนี้ กรมยังได้เดินหน้าโครงการ “จับคู่ปุ๋ย ซื้อตรง ถูกเงิน ถูกใจ” เพื่อให้มีการสั่งซื้อปุ๋ยกันโดยตรงจากโรงงานในราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด โดยส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นสหกรณ์ วิสาหกิจชุมชน กลุ่มแปลงใหญ่ หรือกลุ่มอื่น ๆ รวมตัวกันสั่งซื้อปุ๋ยตรงจากโรงงาน ซึ่งเป็นช่องทางที่จะช่วยให้พี่น้องเกษตรกรได้เข้าถึงปุ๋ยในราคาที่ประหยัดขึ้น