บี.กริม เพาเวอร์ เผยผลประกอบการไตรมาส 1/66 กำไรสุทธิ 399 ล้านบาท ฟื้นตัวแข็งแกร่งเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตอีก 528 เมกะวัตต์ ในปี 2566
วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2566 มีการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่อยู่ที่ 379 ล้านบาท เพิ่มขึ้นในช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 34 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงที่ได้รับผลกระทบรุนแรงจากวิกฤตราคาก๊าซ
ขณะที่กำไรสุทธิ-ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ อยู่ที่ 399 ล้านบาท สาเหตุหลักมาจากการฟื้นตัวของกลุ่มโรง
ไฟฟ้าเพื่ออุตสาหกรรม (SPP) และผลการดำเนินงานที่ปรับตัวดีขึ้นของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม โดยสามารถลดอัตราการใช้เชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้า (heat rate) เฉลี่ยถึง 4.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
เนื่องจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมทั้ง 5 โครงการ และการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนประมาณ 200,000 ตันต่อปี
สำหรับผลงานสำคัญที่เกิดขึ้นในไตรมาสที่ 1/2566 บี.กริม เพาเวอร์ ได้เชื่อมเข้าระบบของลูกค้าอุตสาหกรรมรายใหม่ในประเทศไทย จำนวน 12.2 เมกะวัตต์ จากที่มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ารวม 34.4 เมกะวัตต์ ตามเป้าหมายการเชื่อมลูกค้าใหม่เข้าระบบตลอดทั้งปีที่ 50-60 เมกะวัตต์
โดยความต้องการไฟฟ้าส่วนใหญ่มาจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มเหล็ก และกลุ่มยางรถยนต์
นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 บี.กริม เพาเวอร์ ยังได้เข้าลงทุนในประเทศอิตาลี โดยการเข้าซื้อหุ้นใน RES Company Sicilia S.r.l. บริษัทผู้พัฒนาโครงการพลังงานหมุนเวียนในอิตาลี และในเดือนมีนาคม 2566 โครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม เปิดดำเนินการครบทั้ง 5 โครงการ รวมกำลังผลิตไฟฟ้า 700 เมกะวัตต์ พร้อมด้วยประสิทธิภาพที่สูงขึ้น
ล่าสุดในเดือนเมษายน 2566 บริษัทย่อยและบริษัทร่วมทุนจำนวน 9 บริษัทของกลุ่ม บี.กริม เพาเวอร์ ได้รับคัดเลือกเป็นผู้ผลิตและขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจำนวน 339.3 เมกะวัตต์ ให้กับรัฐบาลตามประกาศคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน
นอกจากนี้ reNIKOLA Holdings Sdn. Bhd. (B.Grimm Malaysia ถือหุ้น 45%) เข้าลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตรวม 90 เมกะวัตต์ (DC) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว 21 ปี กับ Tenaga Nasional Berhad (บริษัทสาธารณูปโภคไฟฟ้าหลักในประเทศมาเลเซีย)
ดร.ฮาราลด์ ลิงค์ กล่าวว่า บี.กริม เพาเวอร์ ให้ความสำคัญกับการร่วมมือกับพันธมิตรมาโดยตลอด โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2566 บี.กริม เพาเวอร์ สมาร์ท โซลูชั่น ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลง (MOU) กับ อินโนพาวเวอร์ เพื่อความร่วมมือด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด ประกอบด้วย การศึกษาเทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าด้วยไฮโดรเจน พัฒนาและประยุกต์ใช้แพลตฟอร์มการบริหารจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนการซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะ และต่อยอดธุรกิจนวัตกรรมพลังงานใหม่ ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ
นอกจากนี้ ยังร่วมกับบริษัท คาโอ อินดัสเตรียล ลงนามสัญญาซื้อขายใบรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียน (REC) เพื่อส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานหมุนเวียนและลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภาคอุตสาหกรรม
สำหรับทิศทางในปี 2566 บี.กริม เพาเวอร์ จะมุ่งขยายการลงทุนทั้งโครงการใหม่และการเข้าซื้อกิจการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ประเทศเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ทวีปยุโรป และภูมิภาคตะวันออกกลางโดยในส่วนของกำลังการผลิตจากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีก 528 เมกะวัตต์ จาก 3,338 ณ สิ้นปี 2565 เป็น 3,866 ณ สิ้นปี 2566 จากโครงการโรงไฟฟ้า SPP เพื่อทดแทนโรงไฟฟ้าเดิม (BGPM2) โครงการโรงไฟฟ้าแบบผสมผสานอู่ตะเภาเฟสแรก และโรงไฟฟ้า SPPใหม่ 2 โครงการ (BGPAT2&3) รวมถึงการเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ใน ประเทศมาเลเซีย 2 โครงการ (BGMCSB และ ISSB)
พร้อมตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าอุตสาหกรรม (IU) รายใหม่ เข้าเชื่อมระบบรวม50-60 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขาย
ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยดำเนินการตามแผนควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 50-70 ล้านบาท
ในระยะยาว บี.กริม เพาเวอร์ ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นผู้ผลิตพลังงานชั้นนำระดับโลกและบรรลุเป้าหมายการก้าวสู่องค์กรที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ภายในปี 2593 การขยายพอร์ตสู่กำลังการผลิต 10,000 เมกะวัตต์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า ในปี 2573