
กรมการค้าต่างประเทศ เผยฟิลิปปินส์ให้สัตยาบันสารต่อสำนักเลขาธิการอาเซียนเป็นสมาชิกสุดท้ายของความตกลง RCEP ส่งผลให้มีผลบังคับใช้กับสมาชิกทั้งหมด 15 ประเทศอย่างเต็มรูปแบบ เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
วันที่ 15 มิถุนายน 2566 นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership : RCEP) ได้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 โดยในปี 2565 มีผลบังคับใช้กับสมาชิกทั้งหมด 13 ประเทศ ได้แก่ บรูไน กัมพูชา สปป.ลาว สิงคโปร์ ไทย เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ เกาหลีใต้ มาเลเซีย และเมียนมา
ขณะที่ในปี 2566 มีผลบังคับใช้กับอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 2 มกราคม 2566 และล่าสุดกับฟิลิปปินส์ในวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ส่งผลให้มีผลบังคับใช้กับสมาชิกรวม 15 ประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศในฐานะหน่วยงานรับผิดชอบการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (Certificate of Origin : C/O) จึงได้ออกประกาศกรมการค้าต่างประเทศฉบับใหม่ เพื่อรองรับการมีผลบังคับใช้ดังกล่าว โดยได้รวบรวมประกาศกรมการค้าต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP ทั้ง 6 ฉบับไว้ในฉบับเดียว และคงเนื้อหาสาระสำคัญของหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ตามที่ความตกลงกำหนดไว้เช่นเดิม เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการในการสืบค้นและอ้างอิงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ไม่ว่าจะเป็นรายชื่อสมาชิก 15 ประเทศของความตกลง RCEP กฎถิ่นกำเนิดสินค้าและกฎถิ่นกำเนิดเฉพาะรายสินค้า (Product Specific Rules : PSR) ตามพิกัด HS 2022 ระเบียบวิธีปฏิบัติในการขอหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า Form RCEP และรูปแบบของ Form RCEP เป็นต้น
สมาชิก RCEP เป็นคู่ค้าที่สำคัญของไทยและมีความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระดับทวิภาคีและพหุภาคีที่บังคับใช้แล้วหลายฉบับ โดย RCEP จะช่วยลดความยุ่งยากของการวางแผนการผลิตสินค้า เนื่องจากสามารถใช้กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin : ROO) เดียวกันกับสมาชิกทั้งหมด
รวมทั้ง RCEP เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่มีการยกระดับจาก FTA อื่น ๆ นอกเหนือจากการค้าสินค้า อาทิ e-Commerce การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ การอำนวยความสะดวกในการค้ายุคใหม่ การส่งเสริมนวัตกรรมที่สร้างสรรค์ แม้ว่าอัตราภาษี RCEP สำหรับสินค้าบางรายการจะสูงกว่าเมื่อเทียบกับ FTA อื่น ๆ
อย่างไรก็ดี อัตราภาษีจะค่อย ๆ ทยอยลดลงเป็นขั้นบันได จนเป็น 0 ในปีที่ 10, 11, 15, 16 หรือ 21 ที่ความตกลงมีผลบังคับใช้ โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565-31 มีนาคม 2566
การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า RCEP มีมูลค่า 1,299 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยสินค้าส่งออกของไทยที่มีการมาขอใช้สิทธิมากที่สุด ได้แก่ น้ำมันหล่อลื่น มูลค่า 642 ล้านเหรียญสหรัฐ ปลาทูน่ากระป๋อง มูลค่า 155 ล้านเหรียญสหรัฐ มันสำปะหลังเส้น มูลค่า 85 ล้านเหรียญ ทุเรียนสด มูลค่า 51 ล้านเหรียญสหรัฐ เลนส์ปริซึมกระจกเงา และวัตถุเชิงทัศนศาสตร์อื่น ๆ
สำหรับกล้องถ่าย เครื่องฉาย หรือเครื่องขยาย หรือย่อภาพถ่าย มูลค่า 40 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นการส่งออกไปยังเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น จีน ตามลำดับ แม้ว่าผู้ประกอบการสามารถเลือกใช้ FTA อื่น ๆ เพื่อส่งออกไปยังสมาชิก RCEP ได้ แต่หันมาเลือกใช้ RCEP เนื่องจากกฎถิ่นกำเนิดสินค้าที่ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินค้าปลาทูน่ากระป๋องที่ผ่อนปรนกฎถิ่นกำเนิดสินค้ามากกว่า FTA อื่น ๆ
โดยอนุญาตให้สามารถนำปลาที่เป็นวัตถุดิบสำคัญมาจากประเทศใดก็ได้แม้กระทั่งนอกภาคี รวมถึงการมีผลบังคับใช้ของสมาชิกครบ 15 ประเทศ ผู้ประกอบการสามารถนำวัตถุดิบที่ได้ถิ่นกำเนิดสินค้าจากสมาชิกมาสะสมเป็นเสมือนวัตถุดิบของไทยได้ ทางกรมคาดว่าการใช้สิทธิ RCEP จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากข้อดีของความตกลงดังที่ได้กล่าวข้างต้น
ดังนั้น จึงขอเชิญชวนผู้ประกอบการให้หันมาใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า RCEP โดยขอให้เปรียบเทียบอัตราภาษีที่ได้รับสิทธิประโยชน์ กฎถิ่นกำเนิดสินค้าและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับความตกลงอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าสามารถนำหลักฐานการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า RCEP ไปลดภาษีนำเข้า ณ ประเทศปลายทางได้
นอกจากนี้ การใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้า RCEP จะมีอยู่ 2 รูปแบบ คือ การขอ Form RCEP ที่ผู้ประกอบการต้องมารับที่กรมการค้าต่างประเทศ และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองโดยผู้ส่งออกที่ได้รับอนุญาต (Approved Exporter) ที่ผู้ประกอบการจะดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในประกาศกรมการค้าต่างประเทศ เรื่อง การขึ้นทะเบียนและการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเองตามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค พ.ศ. 2564 ลงวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ด้วย
“ประกาศกรมการค้าต่างประเทศเกี่ยวกับ Form RCEP ฉบับใหม่นี้ได้รวบรวมประกาศกรมการค้าต่างประเทศทั้งหมดให้เป็นฉบับเดียว ขอให้ผู้ประกอบการศึกษาและปฏิบัติตามที่ประกาศฉบับนี้กำหนดอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถขอรับ Form RCEP และนำไปใช้ลดภาษีนำเข้าที่ ณ ปลายทาง ซึ่งจะมีส่วนช่วยลดต้นทุนทางการค้า และสร้างแต้มต่อในเวทีการค้าโลกได้เป็นอย่างมาก”