เอกชนมั่นใจรัฐบาล “เศรษฐา” ดันเศรษฐกิจไทยโตข้ามปี จีดีพีทะลุ 5%

ส่งออกไทย

ก่อนหน้านี้คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) จะปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 จาก 3.0-3.5% เหลือ 2.5-3.0% ผลจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ส่งผลต่อการส่งออกของไทย แต่ทว่าการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วของรัฐบาลเศรษฐา 1 ทั้งการประกาศความชัดเจนของมาตรการลดค่าครองชีพ ทั้งการลดค่าไฟฟ้างวดที่ 3 (ก.ย.-ธ.ค.) 2566 เหลือ 3.99 บาท และการลดค่าน้ำมันดีเซลให้ต่ำกว่า 30 บาท

ตลอดจนการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้น ด้วยนโยบายการให้ free visa นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน ดึงดูดการลงทุนด้วยการนำภาครัฐบาล-เอกชนเยือนสหรัฐ พบกับภาคธุรกิจยักษ์ใหญ่ของโลกในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า เทคโนโลยีดิจิทัล และสถาบันการเงินและกองทุนระดับโลก เป็นผลดีที่จะสะท้อนต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ทันที

ปลุกรายได้ 3 เครื่องยนต์เศรษฐกิจ

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าฯ มองว่านโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลจะช่วยเพิ่มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) 0.6-0.8% และทำให้ภาพรวมจีดีพีทั้งปี 2566 โต 3% ตามที่ตั้งไว้ ส่วนแนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปี 2567 จะใกล้เคียงกับที่ตั้งเป้าไว้ 5%

สนั่น อังอุบลกุล
สนั่น อังอุบลกุล

โดยนโยบายเศรษฐกิจระยะเร่งด่วนที่ส่งผลดีต่อภาพรวม ทั้งการให้ free visa นักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน จะช่วยกระตุ้นให้จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งปีนี้ขยับขึ้นไปแตะ 28-30 ล้านคน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนน่าจะถึง 5 ล้านคนได้ ผ่านสัญญาณการจองเที่ยวบินและห้องพักที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว

ส่วนระยะยาว รัฐบาลควรเน้นสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวเมืองรอง เพื่อให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายและอยู่ในประเทศไทยนานขึ้น

ขณะที่รายได้ภาคการส่งออกที่ชะลอตัวหลายเดือน เริ่มมีสัญญาณพลิกกลับมาเป็นบวก 2.6% ในเดือนสิงหาคม 2566 ถือเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งหลังจากนี้ในไตรมาส 4 สถานการณ์น่าจะกลับมาเป็นบวกได้ต่อเนื่อง ทำให้การส่งออกปีนี้อาจไม่ติดลบ หรือติดลบน้อยที่สุด

ขณะที่ภาคการลงทุนจะเริ่มเกิดความชัดเจนหลังจากรัฐบาลเดินทางเยือนสหรัฐ สะท้อนภาพว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดึงดูดการลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (FTA) ระหว่างไทย-EU และอีกหลายฉบับไปพร้อมกับการจัด road show ขยายตลาดใหม่ในประเทศเป้าหมาย เช่น จีน ซาอุดีอาระเบียและตะวันออกกลาง อินเดีย และประเทศแถบแอฟริกา

เพื่อดึงดูดการลงทุนเข้ามายังเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในสาขาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ทั้งกลุ่ม EV พลังงานสะอาด AI เกษตรสมัยใหม่ สุขภาพ และ FinTech ให้มากที่สุด เพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของไทยในเวทีโลก

ลุยต่อเงินดิจิทัล

“แม้จะเป็นเรื่องท้าทาย แต่หากได้รับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท หากสำเร็จจะช่วยเพิ่มจีดีพี 2-3% ภายใต้การส่งออกที่เติบโตที่มากกว่าปีนี้ ซึ่งหากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกไม่มีปัจจัยแทรกซ้อน โดยเฉพาะปัญหาความขัดแย้งด้าน geopolitics ก็มีความเป็นไปได้ที่ ปี 2567 จะเห็นตัวเลข 5% ในรอบหลายปี ซึ่งทุกฝ่ายคงต้องช่วยกันให้บรรลุเป้าหมาย” นายสนั่นกล่าว

ส่วนการที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 2.50% นั้นเอกชนยังไม่กังวลเท่าไรนัก เพราะไทยถือว่ามีอัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำ หากเทียบกับประเทศในอาเซียน ซึ่งการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้

เพื่อให้อัตราดอกเบี้ยของไทยกับต่างประเทศไม่ห่างกันมากนัก และเป็นการรักษาเสถียรภาพค่าเงิน เพราะที่ผ่านมาเงินบาทอ่อนค่ามากขึ้น

ดูดนักท่องเที่ยวจีนคุณภาพดี

อย่างไรก็ตาม ความท้าทายว่าการดึงนักท่องเที่ยวจะถึงเป้าหมาย 5 ล้านคนของปีนี้หรือไม่ เพราะจากภาวะเศรษฐกิจจีนที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยใน 7 เดือนแรกปีนี้ เพียง 1.8 ล้านคน ห่างจากเป้าหมาย 3.2 ล้านคน และเหลือเวลาอีก 4 เดือนสุดท้าย

“นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล” ประธานกรรมการหอการค้าไทย-จีน ระบุว่า ผลสำรวจจากคณะกรรมการกิตติมศักดิ์ คณะกรรมการบริหาร และสมาชิกหอการค้าไทย-จีน และประธาน ผู้บริหาร และกรรมการสมาพันธ์หอการค้าไทย-จีน และกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่หอการค้าไทย-จีน 265 คน

ระหว่างวันที่ 15-25 สิงหาคม 2566 ถึงทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ของปี 2566 พบว่า 63% มีความเชื่อว่ารายได้ที่ได้จากนักท่องเที่ยวจีนจะไม่ลดลงและอาจจะเพิ่มขึ้น และมีข้อสังเกตว่านักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมายังประเทศไทยในปีนี้จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ และมีค่าใช้จ่ายต่อคนค่อนข้างสูง

ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล
ณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล

ทุนจีนมองเศรษฐกิจไทย

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจนักธุรกิจจีนเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย พบว่าส่วนใหญ่ 69.4% มองภาพรวมจีดีพีแนวโน้มฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากที่คาดว่าแนวโน้มนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้น การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น และการส่งออกจะปรับตัวดีขึ้นในปลายปี

โดยเฉพาะสินค้าส่งออกสำคัญอย่างสินค้าเกษตรพื้นฐานเกษตรแปรรูป เครื่องดื่ม และสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และผลิตภัณฑ์ยานยนต์และชิ้นส่วน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการได้รับประโยชน์จากการใช้ข้อตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในภูมิภาค (RCEP) ที่มีเอกชน สัดส่วนถึง 70% ได้มีโอกาสใช้ประโยชน์แล้ว

ทั้งนี้ นักธุรกิจจีนส่วนใหญ่คาดการณ์ในไตรมาส 4 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2566 มีนักธุรกิจ 40.4% ที่ให้ความเห็นว่าเศรษฐกิจการค้าและการลงทุนโดยรวมของจีนจะยังทรงตัว ส่วนอีก 30.6% คิดว่าเศรษฐกิจจีนจะปรับตัวดีขึ้น

ส่องภาพการค้า-การลงทุนจีน

ในด้านการค้าระหว่างไทย-จีนนั้น ในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้ (มกราคม-สิงหาคม 2566) มีมูลค่าการค้ารวม 84,425 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 6.7% โดยจีนส่งออกมาไทย 50,078 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 2.3% และจีนนำเข้าจากไทย 34,346 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัว 12.5% สอดคล้องกับภาพรวมการค้าระหว่างประเทศของจีน ในเดือนสิงหาคม มีมูลค่ารวมลดลง 8.2% การส่งออกลดลง 8.8% และการนำเข้าลดลง 7.3%

ซึ่งผลสำรวจ 41.5% คิดว่าการส่งออกไทยไปจีนยังคงทรงตัว และมีโอกาสจะฟื้นก่อนสิ้นปี ส่วนการนำเข้าจะเพิ่มขึ้นราว 45-46.8% เช่นเดียวกัน

และที่สำคัญเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มตัวอย่าง 45.7% คาดว่าการลงทุนจากจีนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยคาดว่านโยบายจีนจะรุกตลาดพันธมิตรมากขึ้น เพื่อแก้ไขภาวะการส่งออกที่ชะลอตัว และมีการกระจายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่นๆ

พร้อมกันนี้ นักธุรกิจจีนยังให้ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ว่าจะดีขึ้นกว่าไตรมาส 3 ปี 2566 ถึง 41.5% ของผู้ตอบการสำรวจ

นักวิชาการมั่นใจจีดีพี 3%

ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโต 3.0% ลดลงจากเดิม 3.6% เป็นผลมาจาก GDP ไตรมาส 2/66 ชะลอตัวกว่าที่คาดไว้

ภาพรวมการส่งออกไทยยังหดตัว 2% จากเดิมคาดโต 1.2% อัตราเงินเฟ้อ 1.8% จากเดิมคาด 3.0% และหนี้ครัวเรือนอยู่ที่ระดับ 89.5% ของจีดีพี โดยยังมีปัญหาความล่าช้าในการจัดทำงบประมาณปี 2567 สถานการณ์ภัยแล้ง และกำลังซื้อประชาชนลดลง

“นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลทั้งการลดค่าไฟ ราคาน้ำมัน และพักชำระหนี้ มียอดหนี้รวม 2.83 แสนล้านบาท ทั้ง 3 มาตรการนี้จะช่วยประหยัดรายจ่ายโดยรวม 49,000 ล้านบาท ซึ่งเม็ดเงินในส่วนนี้จะกลับมาเป็นกำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจ และมีผลต่อจีดีพี 72,000 ล้านบาท และช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้าย 0.43%”

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกสำคัญจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด จากมาตรการวีซ่าฟรีนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถานชั่วคราว 5 เดือนจะทำให้ภาพรวมการท่องเที่ยวมีจำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะ ในไตรมาส 4 การบริโภคเอกชนสูงขึ้น

ทั้งนี้ หากรัฐบาลมีมาตรการเร่งด่วนในช่วงใกล้ปีใหม่เพิ่มเติมจะสร้างความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะเริ่มส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในไตรมาส 1 ปีหน้า ทำให้ประเมินว่าจีดีพีปี 2567 จะเติบโต 4.5-5.0% สิ่งสำคัญต้องรักษาโมเมนตั้มการดึงดูดการท่องเที่ยวให้ถึง 35 ล้านคน ตลอดจนการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน และการลดภาระค่าครองชีพด้วย