
โลกหวังสงครามฮามาส-อิสราเอล ยังจำกัดวง-ไม่ยืดเยื้อ ขณะนี้ผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจยังควบคุมได้ ราคาน้ำมันดิบขยับขึ้นไม่มาก “ซีอีโอ ปตท.” ย้ำ ยังไม่น่าห่วง ลุ้นโอกาสส่งออกสินค้าอาหารกระป๋อง-ข้าว-ยาง-ผลไม้กระป๋อง-ยา-เครื่องมือแพทย์ แต่ให้ระวังท่าเรือจะปิด ด้าน “ดีป้า” ให้จับตาผลกระทบซัพพลายเชนของสินค้าไอที เหตุบริษัทเทคยักษ์ใหญ่มีการลงทุนผลิต “การ์ดจอ-ชิปเซต” ในอิสราเอล แต่ถือเป็นโอกาสไทยรองรับ บริษัทสตาร์ตอัพ ที่จะย้ายฐานหนีภัยสงคราม
วันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา กลุ่ม “ฮามาส (Hamas)” กองกำลังติดอาวุธชาวปาเลสไตน์ได้ยิงจรวดหลายพันลูกออกจากฉนวนกาซา ไปโจมตีพื้นที่เมืองในภาคใต้ของประเทศอิสราเอล พร้อมกับส่งกองกำลังแทรกซึมเข้าไปในพื้นที่และจับตัวประกันทั้งชาวอิสราเอลและชาวต่างชาติ รวมทั้งคนไทย เข้าไปควบคุมตัวไว้ในกาซา
โดยฝ่ายอิสราเอลได้ประกาศภาวะสงครามทันที พร้อมกับเรียกระดมพลครั้งใหญ่ที่สุดและได้ทำการ “ปิดล้อม” ฉนวนกาซาพื้นที่ 365 ตารางกิโลเมตร ตามมาด้วยการโจมตีทิ้งระเบิด ตลอดการต่อสู้ 3 วันที่ผ่านมา ปรากฏมีผู้เสียชีวิตทะลุ 1,700 คน ในจำนวนนี้เป็น “คนไทย” 18 คน และถูกจับไปเป็นตัวประกันอีก 11 คน
เพิ่มความเสี่ยงดึง ศก.โลกถอยหลัง
มีการวิเคราะห์กันว่า ความขัดแย้งครั้งนี้จะสร้างความเสี่ยงใหม่ ๆ ต่อเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะปัญหา “เงินเฟ้อ” ที่อาจพุ่งกลับขึ้นอีก เป็นโจทย์ใหญ่ให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องแก้ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยต่ออีก รวมถึงมีแนวโน้มว่าสงครามจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจกับนักลงทุนลดลง โดยผลกระทบจะเกิดขึ้นรุนแรงแค่ไหนขึ้นอยู่กับระยะเวลาการทำสงครามว่า “จะยาวนานเพียงใดและขอบเขตพื้นที่ของการทำสงครามจะขยายวงกว้างสู่ประเทศอื่นในภูมิภาคหรือไม่”
โดยความกังวลหลัก ๆ เกี่ยวกับการขยายพื้นที่สงครามจะเป็นเรื่องของ “ราคาน้ำมัน” โดยสิ่งที่เห็นแล้วก็คือ ตลาดเงิน ตลาดทุนและราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่อ่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้น 5% ในเช้าวันที่ 9 ตุลาคม ขณะที่ราคาสัญญาซื้อขายข้าวสาลีล่วงหน้าที่ตลาดชิคาโก (CBOT) เพิ่มขึ้น 1.3% ในเวลา 02.56 น. (GMT) ของวันที่ 9 ตุลาคม ส่วนราคาข้าวโพดเพิ่มขึ้น 0.6% และถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น 0.7%
คาร์ล แทนเนนบาม หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของสถาบันการเงิน นอร์เทิร์น ทรัสต์ (Northern Trust) ในสหรัฐ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาจากภูมิภาคที่เกิดเหตุสงคราม ทำให้มีความหวาดกลัวว่า ราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น ด้าน คาริม บาสตา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุน ทริปเปิลอาย แคปิทัล แมเนจเมนต์ (Ill Capital Management) ในฟลอริดา สหรัฐ กล่าวว่า ความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันจะสูงขึ้น ความเสี่ยงต่ออัตราเงินเฟ้อและความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลก
ด้าน กอนซาโล ลาร์ดีส์ (Gonzalo Lardies) ผู้จัดการกองทุนหุ้นอาวุโสของธนาคาร “แอนด์แบงก์” (Andbank) ในสเปน วิเคราะห์ว่า สงครามนี้จะเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาดมากขึ้น อัตราเงินเฟ้อและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว กล่าวคือ อัตราเงินเฟ้อจะกลับไปสูงอีก ส่วนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอลงและความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์จะกลายเป็นประเด็นหลักของเศรษฐกิจโลก “ความผันผวนจะพุ่งสูงขึ้น โดยที่ตราสารหนี้ระยะสั้นจะเป็นหลุมหลบภัย (safe haven) อีกครั้ง ในขณะที่หุ้นวัฏจักรจะเป็นที่จับตามอง”
ส่วน กีร์เลร์โม ซานโตส หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์ของบริษัทการเงิน iCapital ในสเปน วิเคราะห์ว่า ผลกระทบจากสงครามนี้ไม่ควรที่จะส่งผลเสียต่อตลาดการเงินมากเป็นพิเศษ ตราบใดที่สงคราม “ยังจำกัดอยู่” เฉพาะระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ ไม่มีการขยายขอบเขตของสงครามออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน แต่หากมีการขยายขอบเขตสงครามออกไปจนถึงประเทศผู้ผลิตน้ำมันในภูมิภาค จะทำให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น ส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะทำร้ายประเทศตะวันตกมาก และนั่นอาจหมายถึงต้องขึ้นดอกเบี้ยสูงและนานกว่าเดิมอีก
กระทบการค้า-ท่องเที่ยวจำกัด
นายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากสงครามประเมินเบื้องต้นยังคงมีผลจำกัด หากความขัดแย้งยังอยู่ภายในประเทศอิสราเอล ไม่ได้ขยายวงกว้างไปสู่ประเทศอื่น เนื่องจากไทยมีสัดส่วนการส่งออกไปยังกลุ่มตะวันออกกลางไม่มาก โดยในช่วง 8 เดือนมีมูลค่าส่งออกไปตะวันออกกลางอยู่ที่ 7,300 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็นสัดส่วน 2.7% ของการส่งออกทั้งหมด และส่งออกไปยังอิสราเอลราว 545 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 0.3% ของการส่งออกทั้งหมด
ขณะที่นักท่องเที่ยวก็มีผลจำกัด เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวจากอิสราเอลไม่มากนัก โดยภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวกลุ่มตะวันออกกลางมีสัดส่วนเพียง 2.3% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด โดยส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวในกลุ่มสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UEA) ซาอุดีอาระเบีย และคูเวต
แต่สิ่งที่กังวลและอาจมีผลกระทบทางอ้อมต่อเศรษฐกิจไทย หากความขัดแย้งขยายวงกว้างไปสู่ประเทศอื่น ๆ เช่น อิหร่าน เลบานอน และสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะอิหร่านที่มีการผลิตน้ำมันสูงถึง 3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งหากมีความขัดแย้งอาจทำให้ราคาน้ำมันดีดตัวสูงไปสู่ระดับ 120-150 เหรียญ/บาร์เรล ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลต่อเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อได้
ปีหน้าราคาพลังงานผันผวน
ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง กล่าวว่า ปัญหาสงครามในตะวันออกกลางจะมีผลกระทบเรื่องใหญ่ที่สุดเสมอคือ “ราคาพลังงาน” ในอดีตสงครามในตะวันออกกลางทุกครั้งจะทำให้ราคาพลังงานสูงขึ้น และรอบนี้เหมือนจะซ้ำซ้อนกับปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ราคาพลังงานสูงอยู่แล้ว ในบริบทอย่างนี้จะยิ่งทำให้ตลาดพลังงานของโลกมีความผันผวนมากขึ้น
“เรามองโจทย์ของปี 2567 จะตอบได้ชัดเจนว่า ราคาพลังงานจะมีความผันผวนมาก ซึ่งจะยิ่งมีผลกระทบต่อปัญหาค่าครองชีพของประชาชน ถ้าสถานการณ์ผันผวนมาก ราคาพลังงานขยับสูงขึ้น ก็ยิ่งทำให้ค่าครองชีพได้รับผลกระทบมากขึ้น ปัญหาค่าครองชีพเป็นโจทย์ซ้อนกัน 3 ชุด ดังนั้นภาคธุรกิจและประชาชนต้องเตรียมรับมือ”
อย่างไรก็ตาม สงครามในตะวันออกกลางครั้งนี้จะขยายตัวไปเป็นการก่อการร้ายเหมือนที่เราเคยเห็นหรือไม่ เพราะถ้าขยายตัวเป็นก่อการร้ายและนำไปสู่การก่อเหตุในหลายพื้นที่ เราก็จะกลับสู่ยุคของการก่อการร้ายอีกแบบหนึ่งและจะกระทบเศรษฐกิจ ดังนั้นเรื่องเศรษฐกิจในปี 2567 ถ้ามองในมิติความมั่นคง ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดปัจจัยเชิงลบมากขึ้น
แต่ถ้าสงครามในตะวันออกกลางไม่ขยายตัวก็จะเป็นการต่อสู้ระหว่าง อิสราเอล กับกลุ่มติดอาวุธฮามาส-ฮิซบอลเลาะห์ เพียงแต่เราไม่รู้ว่าจะขยายตัวเกินกว่านั้นหรือไม่ ซึ่งเราต้องรอดูอีกระยะหนึ่ง เพราะถ้าสงครามขยายใหญ่ก็อาจมีสภาวะคล้าย ๆ หลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ที่เกิดกระแสมุสลิมทั่วโลก ซึ่งกระแสมุสลิมตอนนี้หลายฝ่ายกำลังจับตาดูอยู่ว่า จะเคลื่อนตัวไปอย่างไรกับสถานการณ์ในอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส
“ถ้าสงครามขยายตัวเป็นความรุนแรงมากขึ้นก็จะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างโลกอาหรับกับอิสราเอล ถ้าอิสราเอลไปพึ่งโลกตะวันตกมากขึ้น คำถามใหญ่คือ จะขยายวงเป็นปัญหาระหว่างโลกอาหรับกับฝ่ายตะวันตกหรือไม่ เพราะต้องยอมรับว่า ตะวันออกกลางเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่การแข่งขันของภูมิรัฐศาสตร์ และโจทย์ซ้ำซ้อนจากรัสเซีย-ยูเครนเข้าสู่ตะวันออกกลาง อาจเป็นสภาวะของสงครามเย็นชุดใหม่ที่เราเห็นและเริ่มคลี่คลายจากสงครามยูเครนมาสู่ปัญหาในตะวันออกกลาง” ศ.ดร.สุรชาติกล่าว
ส่วนท่าทีของรัฐบาลไทยควรจะวางตัวอย่างไรนั้น “คงต้องพิจารณาเรื่องนี้ด้วยความละเอียดอ่อน” เพราะมีคนงานไทยในอิสราเอล โดยไทยควรรักษาสัมพันธ์ที่ดีกับโลกมุสลิมไว้ด้วย โจทย์เรื่องนี้ไทยต้องระมัดระวังว่าจะวางบทบาทของตนเองอย่างไร เพราะด้านหนึ่งต้องรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอิสราเอลและโลกตะวันตก
ซีอีโอ ปตท.ชี้ยังไม่กระทบ
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้นในช่วงระยะสั้น “ยังไม่น่าจะส่งผลต่อปริมาณน้ำมันในตลาดโลก” เพราะไม่ได้เป็นแหล่งผลิตน้ำมัน แต่อาจจะส่งผลทางด้านจิตวิทยาบ้าง ทำให้ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกปรับขึ้นประมาณ 3-4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แต่ล่าสุดราคาจะเริ่มอ่อนตัวลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังอาจอยู่ในระดับสูงกว่าช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดสงครามประมาณ 2 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่ง ปตท.ยังคงไม่ปรับสมมุติฐานคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบที่ประเมินไว้ก่อนหน้านี้ 80-85 เหรียญ/บาร์เรล
“ถ้าสถานการณ์ไม่ยืดเยื้อหรือขยายวงกว้างออกไปจากที่เป็นอยู่ ก็ถือว่าไม่น่าจะต้องเป็นห่วง ปตท.มีการเตรียมความพร้อมในการดูแลโครงสร้างพื้นฐานในการสำรองพลังงานให้เพียงพอต่อการใช้ในประเทศทั้งน้ำมันและก๊าซ”
ไทยรับอานิสงส์ส่งออกข้าว-อาหารกระป๋อง
สำนักงานส่งเสริมการค้าไทยในต่างประเทศ ณ กรุงเทลอาวีฟ ประเทศอิสราเอล รายงานเข้ามาว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้ออาจจะส่งผลกระทบต่อในการฟื้นฟู เยียวยาเศรษฐกิจในประเทศอิสราเอล และหากมองในภาพบวก อิสราเอลจะมีความต้องการสินค้าอุปโภค-บริโภคเพิ่มขึ้น นับเป็นโอกาสของไทยที่จะส่งออกสินค้า
ทั้งนี้ อิสราเอล เป็นคู่ค้าอันดับที่ 40 ของไทย และอันดับ 6 ของไทยในภูมิภาคตะวันออกกลาง ในปี 2566 (มกราคม-สิงหาคม) การค้าระหว่างไทย-อิสราเอล มีมูลค่า 856.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัว ร้อยละ 1.15) โดยไทยส่งออกไปอิสราเอล 545.69 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ขยายตัว ร้อยละ 12.62) และนำเข้าจากอิสราเอล 311.15 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ลดลง ร้อยละ 14.18)
สินค้าส่งออกสำคัญจากไทยไปอิสราเอล 5 อันดับแรก ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ, อัญมณีและเครื่องประดับ, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และข้าว ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญจากอิสราเอล 5 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยและอัญมณี, ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, แผงวงจรไฟฟ้า และผัก ผลไม้ ของปรุงแต่งที่ทำจากผักผลไม้
พร้อมกันนี้ สำนักงานส่งเสริมการค้า ได้วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับไทย ด้านแรงงาน มีแรงงานไทย 29,000 คน ที่ทำงานเกษตรในอิสราเอล มีแรงงานไทยหลายคนได้รับอันตรายเสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกัน ด้านการค้าการนำเข้า-ส่งออกจากไทย แม้ว่าอิสราเอลมั่นใจว่า จะชนะสงครามครั้งนี้ แต่ก็ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก กระทรวงการคลังอิสราเอลประมาณการว่า เศรษฐกิจอิสราเอลได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง มูลค่าความเสียหายหลายพันล้านเชเกล
ขณะที่กระทรวงการคลัง จะประสบปัญหาการอ่อนค่าของเงินสกุลเชเกลและการจัดอันดับเครดิตทางเศรษฐกิจของอิสราเอล หากสงครามสามารถยุติลงได้ใน 1-2 สัปดาห์ อิสราเอลจะสามารถฟื้นฟูเยียวยาประเทศและเศรษฐกิจได้เหมือนที่ผ่านมา แต่หากสงครามยืดเยื้อก็ต้องใช้เวลานานในการฟื้นฟูเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของธุรกิจ
“ผลกระทบเชิงบวก เป็นโอกาสของไทยในการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากภาวะสงครามและการขาดแคลนสินค้า ได้แก่ ข้าว, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป, ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยาง, เครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์, ผลิตภัณฑ์เภสัชภัณฑ์ ส่วนผลกระทบเชิงลบ ได้แก่ ปัญหาการขนส่งสินค้าไทยไปยังประเทศอิสราเอลอาจจะล่าช้าและราคาค่าขนส่งแพงมากขึ้น สินค้านำเข้าจากอิสราเอลมายังไทย เช่น เพชร ปุ๋ย เคมีภัณฑ์ อาจมีปัญหาในการผลิต
และการส่งออกจากอิสราเอล แม้ไทยอาจจะส่งออกสินค้าอาหารได้เพิ่มขึ้น แต่การส่งออกสินค้าที่ไม่จำเป็นต่อการดำรงชีพไปตลาดอิสราเอล อาจชะลอลงจากกำลังซื้อของผู้บริโภคชาวอิสราเอลลดลง เช่น รถยนต์และชิ้นส่วน อัญมณีและเครื่องประดับ ตลอดจนนักธุรกิจอิสราเอลอาจชะลอการเดินทางเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศไทย”
คู่ค้าอันดับ 6 ใน ตะวันออกกลาง
ด้าน นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและนายกสมาคมการค้าอาหารอนาคตไทย กล่าวว่า การส่งออกของไทยไปประเทศกลุ่มตะวันออกกลางคิดเป็นสัดส่วน 4% ต่อการส่งออกทั้งหมดของไทย โดยประเทศที่ไทยส่งออกไปมาก คือ UAE, ซาอุดีอาระเบีย ส่วนอิสราเอลจะเป็นลำดับที่ 6 ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนการส่งออกเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศตะวันออกกลางที่ 7%
การค้าไทย-อิสราเอล 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏประเทศไทยได้ดุลการค้ากับอิสราเอลมาตลอด โดยสินค้าอาหารที่ไทยส่งออกไปอิสราเอลใน 8 เดือนแรกของปี 2566 มีมูลค่า 4.4 พันล้านบาท หรือเติบโต 9% ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (-8%), ข้าว (+30%), เครื่องดื่ม (+48%), ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (+6%), ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (-23%)
ส่วนสินค้าอาหารที่ไทยนำเข้าจากอิสราเอลใน 8 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่า 600 ล้านบาท เติบโต 3% ได้แก่ ผัก ผลไม้และของปรุงแต่งที่ทำจากผัก, ผลไม้ (7%), พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช (-30%), ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ๆ (+37% ), กาแฟ ชา เครื่องเทศ (+51% ), ข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง (+168%)
ด้านสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ตอนนี้ยังไม่มีรายงานจากสายการเดินเรือ แต่เนื่องจากว่าเป็นพื้นที่สงคราม จึงคาดว่าหลาย ๆ ท่าเรือจะปิดเพราะเสี่ยงเกินไปที่จะขึ้นท่า ประเมินผลกระทบการค้าไทยระยะสั้น ด้านแรงงานกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเข้าไปทำงานที่อิสราเอล โดยรัฐบาลอิสราเอลอนุญาตให้นำเข้าแรงงานต่างชาติใน 4 สาขาอาชีพเท่านั้น คือ การเกษตร, ก่อสร้าง, พ่อครัวในร้านอาหาร และดูแลคนชรา/พิการ/ป่วย โดยแรงงานไทยเป็นที่ต้องการของนายจ้างอิสราเอลอย่างมาก ส่วนการท่องเที่ยวปัจจุบันยังมีนักท่องเที่ยวอิสราเอลเข้ามาในไทยไม่มากนัก
หวั่นลามซัพพลายเชนไอที
ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ (กลุ่มงานส่งเสริมระบบนิเวศเศรษฐกิจดิจิทัล) สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า อิสราเอลเป็น “startup nation” หรือประเทศที่มีความโดดเด่นในการสร้างสตาร์ตอัพและพัฒนาเทคโนโลยีมาก โดยเฉพาะกลุ่ม deeptech, AI และ cybersecurity ทำให้ที่ผ่านมา ดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ได้เป็นจำนวนมาก เช่น ไมโครซอฟท์, อินเทล และเอ็นวิเดีย รวมถึงมีบริษัทไทยหลายรายเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพของอิสราเอลด้วย
ทำให้ภัยสงครามอาจส่งผลกระทบด้านซัพพลายเชน เพราะอินเทลมีฐานการผลิตชิปเซตที่นั่น หรืออย่าง เอ็นวิเดีย ที่เป็นผู้นำด้านการผลิตการ์ดจอ รวมถึงชิปเซตที่ใช้ในการพัฒนา AI ก็มีการลงทุนในอิสราเอลด้วย “ถ้าภัยสงครามยืดเยื้อกว่านี้ก็อาจส่งผลกระทบต่อการผลิต และการส่งออกชิ้นส่วนต่าง ๆ อาจส่งผลให้อุปกรณ์ไอทีมีโอกาสปรับราคาขึ้นได้เช่นกัน
นอกจากนี้ที่ผ่านมา บริษัทขนาดใหญ่ของไทยยังเข้าไปลงทุนในสตาร์ตอัพของอิสราเอล ในรูปแบบที่เรียกว่า CVC หรือ corporate venture capital จึงอาจมีผลกระทบบ้าง แต่คงไม่มาก เพราะส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อหา strategic value หรือโซลูชั่น เข้ามาปรับใช้ในการทำธุรกิจมากกว่า”
ขณะที่ ดร.กริชผกา บุญเฟื่อง ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA กล่าวว่า ที่ผ่านมาอิสราเอลเป็นประเทศที่มีอีโคซิสเต็มเอื้อต่อการพัฒนาเทคโนโลยีและสร้างสตาร์ตอัพมาก เช่น เมืองเทลอาวีฟ (Tel Aviv) ที่อยู่บริเวณชายฝั่ง มีความร่วมมือของบริษัทขนาดใหญ่และมหาวิทยาลัยในการจัดตั้ง ศูนย์พัฒนานวัตกรรม
โดยช่วงแรก ๆ ที่อิสราเอลผลักดันตนเองเป็น “ชาติแห่งสตาร์ตอัพ” ก็มีสตาร์ตอัพจดทะเบียนในระบบกว่า 8,000 ราย ทั้งยังโดดเด่นด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการเกษตร และการจัดการน้ำ จึงเป็นประเทศที่สามารถดึงดูดการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ ได้ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ทำให้ความน่าสนใจของการมีเทคอีโคซิสเต็มอาจหายไป
“จึงมีโอกาสที่เม็ดเงินลงทุนจะไหลออกไปที่อื่น” แม้แต่สตาร์ตอัพในประเทศก็อาจย้ายไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นเพื่อหนีภัยสงคราม จึงอาจเป็นโอกาสของสตาร์ตอัพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงประเทศไทย เพราะมีอีโคซิสเต็มที่เป็นมิตรกับนักลงทุนในหลายด้าน ขณะที่เศรษฐกิจในจีนก็ยังไม่นิ่ง
ไอคอนสยาม-CPN เกาะติดสถานการณ์
นายสุพจน์ ชัยวัฒน์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอคอนสยาม จำกัด กล่าวถึงสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลางจะส่งผลต่อการท่องเที่ยวของไทยมากน้อยแค่ไหนนั้น อาจจะต้องจับตาและติดตามสถานการณ์ในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ เนื่องจากเหตุการณ์ลักษณะนี้หากมีผลกระทบมักจะเห็นได้ค่อนข้างเร็ว แต่เชื่อว่าแม้สถานการณ์จะลากยาวออกไปก็น่าจะไม่กระทบกับการท่องเที่ยว เพราะปัจจุบันยังไม่เห็นเอฟเฟ็กต์ที่เกี่ยวข้อง
เช่นเดียวกับ ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN แสดงความเห็นในเรื่องนี้ว่า สถานการณ์สงครามที่เกิดขึ้น เบื้องต้นไม่ได้รับเอฟเฟ็กต์โดยตรง อย่างไรก็ตาม จะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดว่าจะลุกลามหรือยืดเยื้อหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น เพราะในอดีตที่ผ่านมาทั้งปาเลสไตน์และอิสราเอลก็มีปัญหากระทบกระทั่งกันมาเป็นระยะ ๆ อยู่แล้ว
แรงงานไทยใน 3 เมืองหลัก
ล่าสุด นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิสราเอล บริเวณเมือง Netivot (เนติวอต ), Sderot (สเดรอต), Ashkelo (แอชเคโล) รวมทั้งสิ้นประมาณ 29,900 คน และพื้นที่ใกล้เคียงประมาณ 5,000 คน
“ขณะนี้มีแรงงานไทยได้รับบาดเจ็บจํานวน 9 คน เป็นชายทั้งหมด โดยบาดเจ็บสาหัสจํานวน 3 คน และบาดเจ็บเล็กน้อยจํานวน 6 คน แยกเป็นภูมิลําเนา อุดรธานี 1 คน นครพนม 1 คน หนองบัวลําภู 2 คน สุรินทร์ 2 คน (บาดเจ็บสาหัส) อุบลราชธานี 1 คน พะเยา 1 คน และตาก 1 คน ส่วนแรงงานไทยที่ถูกจับไปเป็นตัวประกันจำนวน 11 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 1 คน แยกเป็นภูมิลำเนา อุดรธานี 5 คน (ชาย 4 คน และหญิง 1 คน)
นครพนม 3 คน สุรินทร์ 1 คน ศรีสะเกษ 1 คน และนครราชสีมา 1 คน มีแรงงานไทยขึ้นทะเบียนขอเดินทางกลับไทยจำนวน 2,990 คน โดยกลุ่มแรกที่ได้กลับไทยรวม 15 คน แบ่งเป็น 2 เที่ยวบิน คือ เที่ยวบินแรก LY081 จำนวน 5 คน และเที่ยวบินที่สอง LY083 จำนวน 10 คน ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในวันที่ 12 ตุลาคม 2566