กกร.ผวาสงครามอิสราเอลทุบส่งออก ปี’66 ลบ 2% จับตาราคาน้ำมันพุ่ง-บาทอ่อน

กกร.

กกร. ผวาสงครามอิสราเอลทุบส่งออก ปรับเป้าหมายปี 2566 ติดลบ 2% จากเดิม ลบ 1% ค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางอ่อนค่า-ราคาน้ำมันพุ่ง.

วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เปิดเผยว่าที่ประชุมมองเศรษฐกิจโลกเผชิญกับความไม่แน่นอนมากขึ้นจากภาวะสงครามอิสราเอล-ปาเลสไตน์ ซึ่งอาจมีผลต่อการส่งออกในระยะข้างหน้า

กกร.จึงปรับประมาณการส่งออกปี 2566 ใหม่เป็นติดลบ 2% ถึง ลบ 1% ประกอบกับความกังวลต่อค่าเงินบาทที่อยู่ในทิศทางอ่อนค่า แม้จะสอดคล้องกับสกุลเงินอื่นๆ แต่เป็นปัจจัยกดดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล จากความเสี่ยงที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะปรับตัวสูงขึ้น

“สงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส เป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ต่อเศรษฐกิจโลกส่งผลกระทบต่อราคาพลัง งานในตลาดโลก หากสงครามรุนแรงและขยายวงกว้างไปถึงประเทศที่เป็นแหล่งผลิตน้ำมันดิบ ราคาน้ำมันดิบอาจพุ่งสูงแตะระดับ 140-150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลได้ และอาจกระทบกับการค้ากับตะวันออก กลางโดยรวม คิดเป็น 4% ของการส่งออกของไทย ประกอบกับต้นทุนนำเข้าพลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นภาระการคลัง และค่าครองชีพของผู้บริโภค”

ทั้งนี้ หากสงครามอยู่ในวงจำกัด คาดว่าราคาน้ำมันดิบจะยังอยู่ต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และเศรษฐกิจโลกในปีหน้าจะกระทบ 0.1-0.3% เท่านั้น ส่วนผลกระทบจากสงครามต่อการค้า การท่องเที่ยวยังไม่มากนัก เพราะไทยมีการค้ากับอิสราเอล ปาเลสไตน์ และประเทศรอบข้างเพียง 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือต่ำกว่า 0.3% ของการค้าระหว่างประเทศ และมีนักท่องเที่ยวราว 2 แสนคนต่อปี หรือต่ำกว่า 1% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เหลือของปีนี้ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าหลักของไทย คือ สินค้าเกษตรและยานยนต์ ที่มีแนวโน้มขยายตัว ประกอบกับการขยายมาตรการยกเว้นการขอวีซ่านักท่องเที่ยวเพิ่มเติมให้กับอินเดียและไต้หวันในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น)

รวมทั้งแรงหนุนจากมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนของภาครัฐ จะช่วยประคองเศรษฐกิจ ที่ประชุม กกร.จึงยังคงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจปี 2566 อยู่ที่ 2.5-3% และเงินเฟ้อ 1.7-2.2%

นอกจากนี้ กกร.ขอบคุณรัฐบาลที่ได้ที่มีมาตรการลดค่าครองชีพและต้นทุน ผู้ประกอบการ ทั้งค่าไฟฟ้าและค่าน้ำมัน ในช่วงที่ผ่านมา กกร.หวังว่ารัฐบาลจะเดินหน้าปรับปรุงโครงสร้างต้นทุนพลังงานของประเทศในระยะยาว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

โดยมีข้อเสนอเพิ่มเติมต่อนโยบายรัฐบาล

1. กกร.เห็นด้วยกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระเป๋าเงินดิจิทัล เพื่อช่วยประคับประคองกำลังซื้อภายในประเทศ และควรกำหนดกลุ่มเป้าหมายและผลลัพธ์ที่คาดหวังให้ชัดเจนในการเข้าร่วมโครงการ และควรใช้ระบบเดิมที่มีเสถียรภาพ ปลอดภัย และประชาชนมีความคุ้นชิน  เน้นไปที่การต่อยอดและไม่ลงทุนซ้ำซ้อน

รวมทั้งควรมีการส่งเสริมให้เกิดการซื้อสินค้าที่มีการผลิตในประเทศ เพื่อสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและต่อเนื่องให้กับกลุ่มเป้าหมาย เป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตและศักยภาพของประเทศ พร้อมทั้งสอดประสานกับนโยบายเศรษฐกิจอื่นๆ ให้เกิดความต่อเนื่อง และยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจไทย

2. ในส่วนของนโยบายการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ กกร. เห็นว่าเนื่องจากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ประกอบกับต้นทุนการผลิตที่อยู่ในระดับสูง และผู้ประกอบการยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว จึงควรพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำให้สอดคล้องตามสภาพเศรษฐกิจในแต่ละพื้นที่ โดยใช้กลไกของคณะกรรมการค่าจ้างไตรภาคีของแต่ละจังหวัดเป็นหลัก

รวมทั้งส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานตามทักษะ (Pay by Skill) เพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับแรงงานควบคู่ไปกับประสิทธิภาพแรงงาน (Productivity)

ที่ผ่านมา ภาคเอกชนได้ร่วมกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ดำเนินโครงการจัดทำมาตรฐานฝีมือแรงงานแล้ว 88 สาขาวิชาชีพ เช่น ช่างเชื่อมโลหะ ช่างซ่อมบำรุงเครื่องจักร ช่างประกอบยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งได้เริ่มทดสอบไปแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องจำนวนศูนย์ทดสอบ เครื่องมือที่ไม่เพียงพอ รวมถึงงบประมาณในการสนับสนุน จึงไม่สามารถดำเนินโครงการได้เต็มศักยภาพ