ทียู คว้ากำไรสุทธิไตรมาส 3 ฉลุย 1.2 พันล้าน โต 17.2%

ธีรพงศ์ จันศิริ

ทียูไตรมาส 3 กำไรสุทธิฉลุย 1.2 พันล้าน ทะยาน 17.2% จากไตรมาสก่อนหน้า โชว์อัตรากำไรขั้นต้น 18.4% เหตุราคาวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง

วันที่ 7 พฤศจิกายน 2566 นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือทียู เปิดเผยว่า บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำไตรมาส 3 โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,206 ล้านบาท เติบโตอยู่ที่ระดับ 17.2 เปอร์เซ็นต์ และกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 6,233 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4%

สาเหตุหลักจากราคาวัตถุดิบหลักที่ปรับตัวลดลง การปรับรายการสินค้าโดยเน้นสินค้าที่ทำกำไร รวมถึงแผนและมาตรการต่าง ๆ ในการเพิ่มระดับความสามารถในการทำกำไรที่บริษัทได้เริ่มใช้ประสบความสำเร็จดี

ทั้งนี้ ยอดขายในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 33,915 ล้านบาท ปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 0.9% จากไตรมาสก่อนหน้าแม้ว่าผลประกอบการประจำไตรมาส 3 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2565 ที่มีสถิติสูงเป็นประวัติการณ์นั้น จะปรับระดับลดลง 16.8% เช่นเดียวกับกำไรสุทธิที่ลดลง 52.3%

ซึ่งมีส่วนจากการขาดทุนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศและส่วนแบ่งกำไรสุทธิจาก ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น ลดลงเป็นผลจากสัดส่วนหุ้นที่ไทยยูเนี่ยนถือครองลดลง แต่อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 นี้ยังแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 18.4%

“ไทยยูเนี่ยนยังคงรักษาระดับความสามารถในการทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยจะเห็นได้ว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในไตรมาส 3 นี้เป็นไตรมาสที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 นับตั้งแต่เราทำธุรกิจมา เป็นเครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่าแผนและมาตรการในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไรที่เรานำมาใช้ในทุกธุรกิจประสบผลสำเร็จได้ผลเป็นอย่างดี

บริษัทยังคงมุ่งมั่นในกลยุทธ์เสริมสร้างความสามารถในการกำไรอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาพรวมธุรกิจไทยยูเนี่ยนยังคงแข็งแกร่ง โดยจะเห็นได้จากการที่ทริสเรทติ้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทที่ระดับ A+”

ในไตรมาส 3 ของปีนี้ ยอดขายสินค้าอาหารทะเลแช่แข็งและแช่เย็นอยู่ที่ 11,593 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 0.9% และมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 12.9% เพิ่มขึ้นจาก 9.6% ในไตรมาสก่อนหน้า จากการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดีประกอบกับกลยุทธ์ของบริษัทในการปรับขนาดกลุ่มธุรกิจและมุ่งเน้นไปที่สินค้าที่ทำกำไร

สำหรับธุรกิจสินค้ามูลค่าเพิ่มและธุรกิจอื่น ๆ ยังมีอัตรากำไรขั้นต้นแข็งแกร่งอยู่ที่ระดับ 28.9% ด้วยยอดขาย 2,698 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 19.4% โดยบริษัทเน้นกลยุทธ์การขายสินค้าที่ทำกำไรได้มากกว่า

ธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 3,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.1% และมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 19.4% จากตลาดในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเริ่มมีคำสั่งซื้อสินค้ากลับเข้ามาและราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น สำหรับธุรกิจอาหารทะเลบรรจุกระป๋องมียอดขายในไตรมาส 3 อยู่ที่ระดับ 15,851 ล้านบาท ลดลง 7.5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังคงมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 20.4%

อย่างไรก็ตาม ความยั่งยืนยังคงเป็นหัวใจในการดำเนินธุรกิจของไทยยูเนี่ยน โดยในไตรมาส 3 บริษัทได้ประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืน SeaChange® 2030 ซึ่งเป็นการต่อยอดจากกลยุทธ์เดียวกันที่ประกาศครั้งแรกเมื่อปี 2559 ขยายขอบเขตการทำงานสู่พันธกิจความยั่งยืนทั้งสิ้น 11 ข้อ ที่ครอบคลุมการดูแลทั้งผู้คนและโลก สอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัทในการ

“ดูแลสุขภาพที่ดีให้กับผู้คนไปพร้อมกับทรัพยากรในท้องทะเล” โดยการประกาศกลยุทธ์ความยั่งยืนครั้งนี้ ยังมีเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิลง 42% ภายในปี 2573 และเป็นศูนย์ในปี 2593 อีกด้วย

“ท่ามกลางความท้าทายและไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจโลก ไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าการมุ่งมั่นทำงานในด้านความยั่งยืนและนวัตกรรมจะเป็นกำลังสำคัญของธุรกิจเราในการก้าวไปข้างหน้า สร้างโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจให้เติบโตและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น” นายธีรพงศ์กล่าว