“สมคิด”เล็งรื้อกม.ล้าหลัง อุปสรรค SMEs-Startup ท้าชนสิงคโปร์ ยกระดับไทยเป็น Startup SMEs ของอาเซียน

แฟ้มภาพ

เมื่อเวลา 09.30 น. ที่อาคารชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ กล่าวปาฐกถาเปิดงาน SME Transform # พร้อมเปลี่ยนประชารัฐร่วมใจ เชื่อม SME ไทยสู่สากล ว่า ปัจจุบันไทยมี SMEs จำนวนกว่า 3 ล้านราย คิดเป็นร้อยละ 99.7 ของจำนวนวิสาหกิจทั่วประเทศ ก่อให้เกิดการจ้างงานมากกว่า 10 ล้านคน นับเป็นห่วงโซ่การผลิตและเป็นรากฐานในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศที่แท้จริง รัฐบาลยืนยันพร้อมผลักดัน SMEs ให้เติบโตมากขึ้นกว่านี้ให้ได้ เพื่อจะทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่งมากขึ้น

นายสมคิดกล่าวว่า สำหรับการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมในปัจจุบันถือว่าแข็งแกร่งและขยายตัวได้ดี แต่ต้องยอมรับปัญหาเศรษฐกิจของไทยทุกวันนี้ คือโครงสร้างที่ไม่สมดุล จึงต้องมีการปฏิรูปให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การแก้ไขกฎหมาย แต่เป็นการแก้ไขการทำงานของภาครัฐ ให้รองรับการทำงานของภาคเอกชนได้มากขึ้น ด้วยการจัดทำนโยบาย 4.0 ที่ใช้เทคโนโลยี และดิจิทัลเข้ามามีส่วนร่วม โดยให้กระทรวงต่างๆ ทั้งกระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ร่วมกับสมาคมเอกชนต่างๆ เพื่อปรับตัว และปรับปรุงข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ให้เอื้อต่อการเติบโตของ SMEs และ Startup ไทยให้แข็งแกร่งมากขึ้น

นายสมคิดกล่าวว่า ต้องการให้ไทยแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ โดยการยกระดับไทยเป็น Startup SMEs ของอาเซียน เพราะขณะนี้ค่อนข้างมั่นใจในศักยภาพของผู้ประกอบการไทย โดยมองว่าอีก 4-5 ปีข้างหน้าจะเป็นโอกาสของธุรกิจไทย แต่การขับเคลื่อนและพัฒนาจะต้องใช้ความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้าน ส่วนอะไรที่กีดขวางหรือเป็นอุปสรรคขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการแก้ไข เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การจดทะเบียน การเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยขอให้มีความคืบหน้าในช่วงเวลาก่อนเลือกตั้ง

“เราจะสร้างเศรษฐกิจบนฐานผู้ประกอบการ ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมกัน วันนี้ทุกคนรู้ว่าเรากำลังเดินไปทางไหน แผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 13 จะแตกต่างออกไป ผมต้องการให้ไทยแข่นขันกับสิงค์โปร อะไรที่กีดขวางเราต้องแก้ เรามั่นใจศักยภาพของเรา เราสามารถทำให้เสร็จได้ ไม่มีอะไรที่เราด้อยกว่าชาติอื่น แต่ที่ผ่านมา กฎหมายเก่าแก่ ดังนั้นเราจะต้องร่วมกันแก้ไข ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงพาณิชย์ สมาคมธนาคารไทย กรมสรรพากร อะไรที่ติดขัด เราจะจัดการ เราจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ร่วมมือกันผลักดันกลุ่ม SMEs”นายสมคิดกล่าว

นายสมคิดกล่าวว่า รัฐบาลตั้งเป้ายกระดับ SMEs ไทย สู่ Smart Enterprise เปลี่ยนจากทำมากได้น้อย เป็น ทำน้อยได้มาก โดยรัฐบาลตั้งเป้าหมายดันจีดีพีของ SMEs เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันร้อย 36 เป็นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของจีดีพี ภายในปี 2564 โดยจะเน้นให้เข้าถึงเงินทุนจากสถาบันการเงินมากขึ้น ซึ่งสถาบันการเงินจะต้องปรับปรุงระบบ Big Data กับหน่วยงานรัฐและเอกชนทั้งหมด เพื่อให้สามารถวิเคราะห์การให้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลดอุปสรรคการเติบโตของ SMEs ลงได้