
กรมชลประทานเร่งระบาย น้ำออก เท่ากับ น้ำเข้า เขื่อนเจ้าพระยา 1,300 ลบ.ม./วินาที รับน้ำเหนือ ขณะที่สมาพันธ์ SMEs ประเมินความเสียหายสูงกว่าสภาหอการค้า จะกระทบ GDP 0.3-0.4% ด้าน อจ.เศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ แนะ การประเมินความเสียหายต้องมี “ค่ากลาง” เสียหายแล้ว 8,000 ล้าน
มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยมีกำลังอ่อนลง ในขณะที่มีหย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณประเทศเวียดนามตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออก สำหรับสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำยม-น่าน
ขณะนี้ยังมีฝนตกเพิ่มในพื้นที่ทางตอนบนของประเทศ ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำสายหลักเพิ่มขึ้น อาทิ ในลุ่มน้ำยม ที่สถานีวัดน้ำ Y37 บ้านวังชิ้น อ.วังชิ้น จ.แพร่ และที่สถานีวัดน้ำ Y14 A อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น แต่ยังต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 5 เมตร ทางกรมชลประทานได้บริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำยม ด้วยการผันน้ำบางส่วนลงแม่น้ำน่านและแม่น้ำยมสายเก่า เข้าไปเก็บไว้ที่พื้นที่หน่วงน้ำทุ่งบางระกำ
ขณะนี้รับน้ำเข้าพื้นที่ไปแล้วประมาณ 62 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็น 15% ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมขังในพื้นที่ จ.สุโขทัย ตั้งแต่ อ.ศรีสัชนาลัย อ.สวรรคโลก อ.ศรีสำโรง และ อ.เมืองสุโขทัย ปัจจุบันระดับน้ำต่ำกว่าตลิ่งแล้ว แต่ยังคงมีน้ำท่วมขังในบางพื้นที่
ด้านการระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ยังมีปริมาณน้ำจากแม่น้ำน่าน ไหลมารวมกับแม่น้ำยม ที่สถานีวัดน้ำ C2 อ.เมือง จ.นครสวรรค์ ณ วันที่ 30 สิงหาคม มีปริมาณน้ำไหลผ่านในอัตรา 1,311 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปริมาณน้ำไหลสู่เขื่อนเจ้าพระยาสถานี C13 จ.ชัยนาท มีปริมาณ 1,300 ลบ.ม./วินาที ดังนั้น กรมชลประทานปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ในอัตรา 1,300 ลบ.ม./วินาที ซึ่งอาจส่งผลให้ระดับน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นนทบุรี และกรุงเทพมหานครบางพื้นที่ ยกตัวสูงขึ้น แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมและพื้นที่เศรษฐกิจของกรุงเทพฯ
นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย กล่าวถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ 7 จังหวัด จะมีความเสียหายตามมาในภาคการเกษตร ประมง ปศุสัตว์ อาจเกิดภาวะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงขึ้นตามมา ธุรกิจภาคการค้า ภาคบริการและการท่องเที่ยว ภาคการผลิตอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในพื้นที่น้ำท่วมหยุดชะงัก ก่อให้เกิดต้นทุนการฟื้นฟู กระทบต่อ GPP แต่ละจังหวัด และ GDP อาจเติบโตได้ไม่เท่าตามที่คาดการณ์ไว้
“น้ำท่วมครั้งนี้น่าจะส่งผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 0.3-0.4% ของ GDP ภาพรวม หรือคิดเป็นมูลค่าเสียหายประมาณ 55,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งจะมากกว่าที่หอการค้าไทยประเมินวานนี้ (29 ส.ค. 67) ประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท ขอบเขตเฉพาะ 9 จังหวัดทางภาคเหนือ”
ทางสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย อยากจะให้ภาครัฐเข้ามาช่วยเหลือใน 6 เรื่อง ได้แก่ 1) มาตรการตรวจรักษาสุขภาพเยียวยาผู้ประสบภัย 2) มาตรการซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ท่องเที่ยว โดยมีโครงการวัสดุก่อสร้างราคาถูก
3) มาตรการฟื้นฟูพื้นที่การเกษตรและซ่อมแซมหรือสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลการเกษตร 4) มาตรการทางการเงิน การพักชำระหนี้ ลดดอกเบี้ย สินเชื่อเพื่อการฟื้นฟูธุรกิจ-ที่อยู่อาศัย-สถานประกอบการ และ 6) มาตรการป้องกัน การแก้ไขเหตุการณ์น้ำท่วมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ด้านนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความเสียหายจากสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในภาคเหนือ 9 จังหวัด เบื้องต้นที่ประมาณ 4,000-6,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.02-0.03% ของ GDP ซึ่งยังคงต้องติดตามและประเมินผลกระทบอีกครั้ง เนื่องจากหลายจังหวัดยังมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดน้ำท่วมเพิ่มเติม โดยภาคการเกษตรจะได้รับผลกระทบมากที่สุด
รองลงมา ภาคบริการและภาคอุตสาหกรรม ในระยะสั้นหอการค้าฯเสนอให้รัฐบาลจัดตั้ง “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้าในพื้นที่เสี่ยงอุทกภัย” เพื่อต้องเตรียมแผนรับมือมวลน้ำที่จะไหลลงมาสู่ภาคกลางและกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ ทางหอการค้าฯร่วมกับผู้ประกอบการค้าปลีกและค้าส่ง (Modern Retail & Wholesale) ชั้นนำของประเทศ เช่น Tops Makro ระดมแนวทางบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ ผ่านการจัดแคมเปญลดราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค เครื่องใช้ไฟฟ้า และเฟอร์นิเจอร์ เช่น กลุ่มวัสดุก่อสร้าง อาทิ ไทวัสดุ ให้การสนับสนุนการลดราคาสินค้าในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการซ่อมแซม-ตกแต่งบ้าน และเครื่องใช้ไฟฟ้า
และได้ประสานกับเครือข่ายบริษัทชั้นนำช่วยสนับสนุนส่วนลดพิเศษเพิ่มเติม อาทิ TOYOTA สำหรับซ่อมแซมยานพาหนะ, SCG สำหรับการซ่อมแซมและวัสดุก่อสร้าง, Siam Kubota มอบส่วนลดค่าแรง น้ำมันเครื่อง และอะไหล่ให้กับรถที่ได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติโดยตรง
ส่วนการช่วยเหลือด้านการเงิน หอการค้าฯร่วมกับ SME D Bank และ EXIM Bank ออกมาตรการช่วยเหลือทางการเงินสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับ นายกฤษณ์ จันทโนทก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไทยพาณิชย์ได้ออกมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม สำหรับลูกค้าบุคคลและลูกค้าสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ สำหรับลูกค้าที่ใช้บริการสินเชื่อที่อยู่อาศัย
และสินเชื่อธุรกิจเพื่อผู้ประกอบการ (SSME) ธนาคารให้ความช่วยเหลือในการพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาสูงสุด 3 เดือน ลดอัตราดอกเบี้ยได้สูงสุด 100% ของอัตราดอกเบี้ยเดิมภายในระยะเวลาไม่เกิน 3 เดือน และขยายระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี สำหรับลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสูงสุด 3 ปี สำหรับลูกค้าสินเชื่อ SSME (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี) สำหรับลูกค้าบุคคลประเภทสินเชื่อรถยนต์ สามารถขอพักชำระหนี้สูงสุดไม่เกิน 3 เดือน และขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระสูงสุด 3 เดือน (รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 65 ปี)
ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงความเสียหายที่เกิดจากน้ำท่วมว่า จะต้องมีการกำหนด “ค่ากลาง” ผ่านสมการขนาดเศรษฐกิจในพื้นที่ 7 จังหวัด อ้างอิงสถิติผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัด (GPP) จากสภาพัฒน์ คิดเป็นมูลค่ากว่า 300,000 ล้านบาทต่อปี ลดทอนตามสถานการณ์ ระยะเวลาและพื้นที่น้ำท่วมราว 10-20 เปอร์เซ็นต์
ดังนั้น หากน้ำท่วมกินเวลาราว 1 เดือน ความเสียหายจะคิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท นับจากทรัพย์สิน พืชผลทางการเกษตร การค้าขาย โครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุข โดยสัดส่วนใหญ่ที่สุดที่จะต้องนำมาคำนวณก็คือ การทำมาค้าขาย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าราว 4,000 ล้านบาท
“ถ้าสถานการณ์น้ำท่วมลากยาวกว่านี้ ตัวเลขไม่ใช่แค่คูณสอง แต่ทวีคูณ ความเสียหายข้างต้นจะถูกนับเป็นความเสียหายบานปลาย ตามหลักการของเศรษฐศาสตร์ภัยพิบัติ จาก 8,000ล้านก็จะกลายเป็น 20,000-30,000 ล้านบาทได้ ซึ่งเปรียบเหมือนดอกเบี้ยทบต้น” ดร.เกียรติอนันต์กล่าว
ที่ผ่านมา ประเทศไทยขาดการประเมินในเชิงเศรษฐศาสตร์ที่เป็นระบบและชัดเจนในการบริหารจัดการน้ำ โดยเรียนรู้ว่า ควรปล่อยน้ำแบบใด ไปทางใด แต่ไม่เคยมีข้อมูลรองรับที่บ่งบอกถึงความเสียหายที่ชัดเจน เช่น “ท่วมบริเวณนี้ ปริมาณ 1 เมตร 2 เมตร เกิดเสียหายเท่าใด”
ค่ากลางจะเป็นตัวชี้วัดและอธิบายการตัดสินใจเรื่องความเสียหายจริงได้ว่า จะต้องฟื้นฟูความเสียหายเท่าไหร่และอย่างไร เท่าที่ผ่านมาประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้านที่นำไปสู่การค้นหา “ค่ากลาง” และการจัดการที่เป็นระบบ ทั้งดาวเทียม THEOS-2 ข้อมูลพื้นฐานจากกระทรวงเกษตรฯ เครือข่ายความเข้มแข็งของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตอนนี้จึงขาดเพียงว่า ทำอย่างไรให้สามารถรวมกันเพื่อสร้างระบบนี้ขึ้นมาให้ได้