ผู้แทนการค้าเร่งบุกตลาดจีน ปลดล็อกส่งโคเนื้อ 1.5 ล้านตัว

เปิดแผนส่งออกโคเนื้อไทยไปจีน 1.5 ล้านตัว แก้ปัญหาราคาเนื้อในประเทศตกต่ำ ผู้แทนการค้าไทยเผยได้สัญญาณบวกอาจอนุมัติรับซื้อ เป็นของขวัญครบรอบ 50 ปีสัมพันธ์ไทย-จีน พร้อมทุ่ม 1.2 พันล้านบาท อัพสกิลเกษตรกรในประเทศ เพิ่มคุณภาพผลผลิต วางแผนส่งออกทุเรียน 10 ล้านตันภายใน 10 ปี ชงแผนตั้ง “บอร์ดทุเรียน” บริหารจัดการทั้งระบบ

จีนรับซื้อวัวไทย

นายชัย วัชรงค์ ผู้แทนการค้าไทย ให้สัมภาษณ์ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้ไทยกำลังผลักดันส่งออกโคเนื้อไทย เนื่องจากเกษตรกรขอให้ช่วยแก้ปัญหาโคเนื้อราคาตกต่ำ เพราะก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 เราส่งไปจีน มาเลเซีย เวียดนาม ปีละ 4-5 แสนตัว สร้างมูลค่าเศรษฐกิจ 2-3 หมื่นล้านบาท

แต่วันนี้ส่งออกไม่ถึงแสนตัวต่อปี ทำให้โคล้นตลาด หรือหากจะส่งไปจีนต้องผ่าน สปป.ลาว เมียนมา เพราะไทยไม่มีชายแดนติดจีน จึงไม่ได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งไม่คุ้มค่า

การเจรจาส่งออกโคเนื้อไปจีน ที่ผ่านมาได้ประสานผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ซึ่งอยู่ในประเทศไทย โดยแสดงความพร้อมของมาตรการคุมเข้มป้องกันโรคปากเท้าเปื่อย และมาตรฐานอื่น ๆ ผู้ประสานงานได้นำมาตรการต่าง ๆ ไปเจรจากับทางรัฐบาลกลางของจีนแล้ว

ล่าสุดทราบว่า ขณะนี้จีนมีท่าทีอ่อนลง พร้อมกับได้รับสัญญาณบวก ความเป็นไปได้อาจจะมีการผ่อนผันให้ไทยส่งโคเนื้อไปจีนเป็นกรณีพิเศษ

“ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงจีนส่งสัญญาณบวกมาว่า เนื่องจากปี 2568 เป็นช่วงครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์การทูตระหว่างไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีน จีนอาจจะอนุมัติเปิดรับซื้อโคและเนื้อวัวจากไทย เพื่อเป็นอีกของขวัญพิเศษโอกาสครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี เพื่อรองรับการบริโภคเนื้อวัวในจีนที่ขณะนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากปกติจีนนำเข้าเนื้อวัวต่างประเทศราว 3 ล้านตันต่อปี นอกเหนือการผลิตในประเทศ”

ADVERTISMENT

ชงส่งจีน 1.5 ล้านตัว

นายชัยกล่าวอีกว่า ยังได้เสนอผ่านเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน ช่วงที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางเยือนจีน วันที่ 5-7 กุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ อาจจะมีการลงนามเอ็มโอยูให้ไทยเริ่มส่งเนื้อวัวไปจีน เบื้องต้นอาจกำหนดจำนวนในระดับหนึ่ง

ขณะที่ตนเสนอตัวเลขไป 7.5 แสนตัว-1.5 ล้านตัวต่อปี ในช่วงทดลอง ส่วนจะได้เท่าไหร่ต้องรอการพิจารณาอีกครั้ง เชื่อว่าหากไทยได้ลงนามเอ็มโอยูส่งออกโคเนื้อกับจีน จะทำให้ราคาตลาดวัวในไทยปรับสูงขึ้น เบื้องต้นคาดว่าขึ้น 5-10 บาทต่อกิโลกรัมทันที และน่าจะทำให้เกษตรกรพอใจ

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน หน่วยงานระดับปฏิบัติการไทย ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ต้องรับลูกเพื่อให้โครงการนี้เดินไปได้ ซึ่งตนแจ้งผ่าน นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ไปยัง 2 กระทรวงแล้ว เหลือเพียงการตอบรับเพื่อสานต่อโครงการดังกล่าว

ขณะที่การควบคุมมาตรฐานส่งออกโคเนื้อนั้น ต้องพัฒนาสถานกักกันโรคในประเทศให้เพียงพอรองรับความต้องการตลาดโค จากการพูดคุยกับ นายอิทธิ ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ เห็นพ้องขยายสถานที่กักกันโรคบริเวณชายแดนให้เพิ่มขึ้น ประกอบกับปูพรมทำวัคซีนป้องกันโรคปากเท้าเปื่อยในสัตว์ให้ 100%

นอกจากนี้ จากพูดคุยกับกระทรวงพาณิชย์ ขอให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หยิบยกประเด็นส่งออกโคเนื้อไทย นำเข้าสู่วงพูดคุยเจรจาการค้ากับจีนทุกครั้ง ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็ตอบสนอง และจากการติดตามภารกิจ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทุกครั้งเมื่อพบจีนมักหยิบยกมาหารือ สอดคล้องกับนายกฯ ครั้งก่อนไปจีนก็นำประเด็นนี้มาพูด จึงเชื่อว่าเมื่อทุกฝ่ายเดินเรื่องนี้จะมีสัญญาณที่ดี

ใช้ 1.2 พันล้าน อัพสกิลพ่อค้า

ส่วนแผนการพัฒนาผู้ส่งออกโคเนื้อในประเทศนั้น นายชัยมองว่าที่ผ่านมา คนทำธุรกิจมีแต่หน้าเก่า ๆ เป็นพ่อค้าท้องถิ่น อาทิ กำนัน ชาวบ้านทั่วไป ซึ่งขาดความเข้าใจในกลไกการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเงินทุนน้อย ขณะที่ทางนโยบายของเพื่อไทยต้องการใช้การตลาดนำ จึงต้องส่งเสริมให้พ่อค้าการส่งออกเข้มแข็ง มีความเป็นอินเตอร์สื่อสารภาษาต่างประเทศได้ ทั้งรู้กติกาการค้าสากล

อย่างไรก็ตาม การพัฒนากลุ่มนี้ต้องใช้เวลา และเงินทุนที่เตรียมตั้งไว้ประมาณ 1,200 ล้านบาท สำหรับการพัฒนาและกระตุ้นการลงทุนในธุรกิจโคเนื้อ โดยตนจะนำเรียนนายกฯ เพื่อความเห็นชอบในหลักการและมอบหมายให้มีการประสานงานกับกระทรวงการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

“แผนการตลาดนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น ทำให้ราคาวัวสูงขึ้น และส่งผลให้ทิศทางการเพาะเลี้ยงวัวไทยมีโอกาสยกระดับ ทำให้เนื้อมีคุณภาพมากขึ้น เพราะรัฐบาลไม่ต้องการให้มีวัวโครง วัวแก่ ๆ ที่ซื้อมาในราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งยังใช้สารเร่งเนื้อแดง รัฐบาลมีเป้าหมายในการแก้จุดบอดจุดอ่อนของวงการวัวเนื้อ พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเพาะเลี้ยงโคระดับพรีเมี่ยม ผู้บริโภคสามารถมั่นใจในการบริโภคได้”

ชงตั้งบอร์ดทุเรียน

นายชัยกล่าวเสริมว่า ขณะเดียวกันสถานการณ์ส่งออกทุเรียนไทย ตลาดใหญ่อันดับหนึ่งการรับซื้อยังเป็นจีน ปี 2566 จีนนำเข้าทุเรียนต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านตัน โดยไทยเป็นอันดับหนึ่ง 9.5 แสนตัน รองลงมาเวียดนาม 5.5 แสนตัน นอกจากนั้นเล็ก ๆ น้อย ๆ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์

โดยประเทศจีนมีประชากรกว่า 1,500 ล้านคน แต่ค่าเฉลี่ยหนึ่งคนบริโภคทุเรียนเพียง 1 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งไม่มากเลยหากเทียบกับมาเลเซีย 1 คน บริโภคทุเรียน 11 กิโลกรัมต่อปี ส่วนคนไทยบริโภคทุเรียน 7.3 กิโลกรัมต่อปี ฉะนั้นตลาดทุเรียนในจีนยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก

แต่ปัญหาคือไม่มีสินค้าเพียงพอ ซึ่งคาดว่าอีก 10 ปี จีนอาจจะนำเข้าทุเรียนมากถึง 15 ล้านตันต่อปี เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ในฐานะผู้แทนการค้าไทยจึงต้องตั้งเป้าและผลักดันแผนการส่งออกทุเรียนไทยไปจีนให้ได้ถึง 10 ล้านตัน ภายในระยะเวลา 10 ปี

สำหรับการพัฒนาทุเรียนไทย ต้องแก้ปัญหาและควบคุมมาตรฐานตั้งแต่กระบวนการผลิต บริหารจัดการพื้นที่ปลูกให้ได้มาตรฐานเพียงพอ การขนส่งต้องพร้อม เพราะการคุมมาตรฐานทุเรียน หัวใจคือการส่งออก รวมถึงทำการตลาดแบบใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มมูลค่า

ผู้แทนการค้าไทยเสนอแนวคิดว่า การบริหารจัดการตลาดทุเรียนในไทยทั้งระบบ นายกรัฐมนตรีควรจะพิจารณาตั้งคณะกรรมการขึ้นมา รูปแบบบอร์ดทุเรียน เพื่อเป็นเจ้าภาพในการบริหารจัดการอย่างครบวงจร ตั้งแต่การผลิต พัฒนาคุณภาพพันธุ์ ส่งเสริมการลงทุน และการส่งออก เพื่อทำให้ทุเรียนไทยเติบโตอย่างมีคุณภาพและมีทิศทางที่มั่นคง