
อ่วม “พิชัย” เปิดข้อมูล 2 บริษัทเอี่ยวอาคาร สตง. ถล่ม พบเครือข่ายกว่า 37 บริษัท เตรียมประสานกรมบัญชีกลางลุยสอบ 26 โครงการ มูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท พร้อมจับมือ 8 หน่วยงานรุมเช็กนอมินี-วัสดุไม่ได้มาตรฐาน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ แถลงภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาสินค้าและธุรกิจต่างประเทศที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ครั้งที่ 4 (2/2568) โดยมีนายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมประชุมเพื่อหารือแนวทางดำเนินการทางกฎหมายต่อผู้กระทำผิด

สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับ 2 นิติบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ ซึ่งอยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา ได้แก่ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด โดยพบว่าทั้งสองบริษัทมีชาวจีนร่วมถือหุ้นในสัดส่วน 49% และ 80% ตามลำดับ
เบื้องต้นมีมูลฐานความผิดตามกฎหมายไทยหลายฉบับ โดยหนึ่งในนั้นคือ พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ ล่าสุดกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้นำส่งเอกสารรายละเอียดข้อมูลทางทะเบียนของทั้งสองบริษัทให้แก่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อพิจารณา และขณะนี้ DSI ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว
นายพิชัยเปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นจากแผ่นดินไหวเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ส่งผลให้อาคารสำนักงาน สตง. ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างพังถล่มลงมา โดยการก่อสร้างดำเนินการโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด
ทั้งนี้ มีรายงานว่าผู้เชี่ยวชาญที่ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างวัสดุก่อสร้างจากที่เกิดเหตุ พบว่าวัสดุบางส่วนเป็นของ บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่านิติบุคคลทั้งสองรายนี้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นที่สนใจของสังคม และนายกรัฐมนตรีกำชับให้ดำเนินการให้ถึงที่สุด การเร่งประชุมครั้งนี้เกิดจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและอาคาร สตง. ถล่มลงมา ซึ่งนำไปสู่การตรวจสอบอย่างละเอียด พบว่าบริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด มีความเชื่อมโยงกับอีก 13 บริษัท และบริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด มีความเกี่ยวข้องกับอีก 24 บริษัท รวมเป็น 37 บริษัท ขณะนี้ข้อมูลทั้งหมดได้ถูกส่งมอบให้ DSI เพื่อดำเนินการต่อไป
โดยในส่วนของกรมบัญชีกลางจะเข้าตรวจสอบการรับงานของ 26 โครงการที่มีปัญหา ซึ่งบางส่วนมีการทิ้งงาน โดยหากพบความผิดปกติอาจพิจารณาขึ้นบัญชีดำ (Black List) บริษัทที่เกี่ยวข้อง
ด้าน นายนภินทร ศรีสรรพางค์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้รับคดีนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว และทุกหน่วยงานต้องนำข้อมูลทั้งหมดให้ DSI ตรวจสอบ โดยมีการดำเนินการดังนี้
1.กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ตรวจสอบ บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด รวมถึงเครือข่าย 13 บริษัท พร้อมป้อนข้อมูลให้ DSI
2.สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบเส้นทางการเงินของบริษัท ผู้ถือหุ้น และผู้เกี่ยวข้อง
3.กรมสรรพากร ตรวจสอบการเสียภาษีของบริษัทและผู้ถือหุ้นทั้งหมด
4.สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ตรวจสอบคุณภาพเหล็กและอุปกรณ์ที่ใช้ก่อสร้าง
5.กรมการจัดหางาน ตรวจสอบใบอนุญาตทำงานของแรงงานต่างด้าว
6.กรมโรงงานอุตสาหกรรม ตรวจสอบโรงงานผลิตเหล็ก
7.กรมที่ดิน ตรวจสอบการถือครองที่ดินของคนไทยและต่างชาติ
8.กรมบัญชีกลาง ตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง
ขณะเดียวกัน จะมีการตรวจสอบ 14 บริษัทในเครือข่ายว่ารับงานที่ใดบ้าง โดยข้อมูลล่าสุดพบว่ามี 26 โครงการที่เกี่ยวข้อง และอาจมีเพิ่มเติม ซึ่งได้เสนอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงมหาดไทย กรมโยธาธิการ และกระทรวงอุตสาหกรรม เข้าตรวจสอบ เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับประชาชนและทรัพย์สิน ซึ่งจะตรวจสอบเชิงลึกว่ามีการใช้คนไทยเป็นนอมินีอีกหรือไม่ และโยงใยไปถึงใคร ข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งให้ DSI ดำเนินการอย่างเร่งด่วน
สำหรับโทษตาม พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 หากพบว่ามีการกระทำผิดจะมีบทลงโทษดังนี้
1.กรณีคนไทยถือหุ้นแทนชาวต่างชาติ (Nominee) มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.กรณีคนต่างด้าวดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุก ไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
3.กรณีคนต่างด้าวประกอบธุรกิจต้องห้ามโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลสามารถสั่งให้เลิกกิจการ หรือเพิกถอนการถือหุ้นได้
สำหรับข้อมูล 2 บริษัทที่ถูกตรวจสอบ พบว่า
1.บริษัท ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10 (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 10 สิงหาคม 2561 ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาทสัดส่วนหุ้น : ไทย 51% / จีน 49%ผลประกอบการปี 2566 : ขาดทุนสะสม 208,489,056.67 บาท
2.บริษัท ซิน เคอ หยวน สตีล จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ทุนจดทะเบียน 1.53 พันล้านบาท สัดส่วนหุ้น : ไทย 20% / จีน 80%
ซึ่งขณะนี้ทั้งสองบริษัทถูกตรวจสอบความเชื่อมโยงกับนิติบุคคลอื่น ๆ อีก 37 บริษัท โดย DSI เดินหน้าสืบสวนเพิ่มเติม