กสศ. จับมือนานาชาติ เร่งฟื้นฟูภาวะถดถอยการเรียนรู้ในเด็ก 3 แสนราย

กองทุนเพื่อความเสมอภาค

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา จับมือนานาชาติ เดินหน้าพัฒนาระบบการศึกษา ตั้งเป้าฟื้นฟูภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ในเด็ก 300,000 ราย 

วันที่ 24 ตุลาคม 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ, ยูเนสโก, กรุงเทพฯ, สำนักงานภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกของยูนิเซฟ (UNICEF EAPRO), ยูนิเซฟ ประเทศไทย, รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEAMEO) และ Save the Children เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมวิชาการนานาชาติเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

ภายใต้แนวคิด ก้าวสู่ความเสมอภาคไปด้วยกัน (International Conference on Equitable Education : Together Towards Equity) ระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นกับเด็ก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กยากจนทั่วโลก 

ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า การประชุมนานาชาติครั้งนี้ เป็นไปเพื่อหาโซลูชั่นการศึกษาที่แต่ละฝ่ายสามารถนำไปปรับใช้กับบริบทของประเทศ โดยวาระเร่งด่วนของการศึกษาในเวลานี้ก็คือ การฟื้นฟูการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชน เนื่องจากการระบาดของโควิด-19 ทำให้เด็กจำนวนมากกำลังประสบภาวะถดถอยทางการเรียนรู้ และปัญหาทางพัฒนาการร่างกายที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ เช่น พัฒนาการกล้ามเนื้อ เป็นต้น

ดังนั้น การเร่งฟื้นฟูเด็กและเยาวชนกลับสู่ภาวะปกติ จนสามารถกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาได้อย่างเสมอภาคเท่าเทียม เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการบูรณาการและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ตามแนวคิด All for Education ซึ่งเป็นที่มาและวัตถุประสงค์หลักของการประชุมวิชาการนานาชาติ เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาในครั้งนี้ พร้อมแสดงความหวังว่าการพูดคุยจะนำไปสู่การเกิดแผนการฟื้นฟู และพัฒนาเด็กที่สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด เกิดการลงทุนเพื่อการศึกษาที่ยั่งยืนในระยะยาว

ดร.ไกรยส ภัทราวาท
ดร.ไกรยส ภัทราวาท

“สิ่งที่ได้จากการประชุมในครั้งนี้ จะเป็นแนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาวะ Lost Generation ซึ่งจะเป็นความสูญเสียที่จะส่งผลกระทบต่อสังคมไทยและสังคมโลกอย่างมหาศาล เพราะมีเด็กประมาณ 300,000 ราย ที่อยู่ในกลุ่มคนยากจน และต้องสูญเสียโอกาสในการเรียนรู้ไปในช่วงของการปิดโรงเรียนเพราะโควิด-19

ซึ่งลำพังแค่การเยียวยาไม่เพียงพอที่จะทำให้เด็กบรรเทาผลกระทบต่อการสูญเสียการเรียนรู้ แต่จำเป็นต้องลงทุนเพื่อฟื้นฟูการศึกษา นำเด็กที่หลุดออกจากโรงเรียนกลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาอีกครั้ง ฉะนั้น ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับทรัพยากร ความมุ่งมั่น และทุกมุมมองที่จะสามารถช่วยพวกเขาให้กลับมาโรงเรียนได้อีกครั้ง”

ผลศึกษาพบการเรียนรู้เด็กต่ำลง สูญรายได้ 17%

ทั้งนี้ ผลการศึกษาล่าสุดที่เปิดเผยที่ทางธนาคารโลกจัด ที่ทำร่วมกับ UNESCO, UNICEF, กระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาแห่งสหราชอาณาจักร (UK government Foreign Commonwealth and Development Office-FCDO), USAID และมูลนิธิบิลล์ แอนด์ เมลินดา เกตส์ ซึ่งเผยแพร่เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พบว่า การพัฒนาทางการเรียนรู้ของเด็กต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ แม้ในประเทศที่มีการเรียนออนไลน์มาใช้ ส่งผลให้เด็กนักเรียนรุ่นนี้มีแนวโน้มสูญเสียรายได้ที่ควรจะหาได้จากช่วงชีวิตของตนถึง 21 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเทียบเท่า 17% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในโลกปัจจุบัน

เด็ก 70% ทั่วโลกอ่านเขียนไม่ได้

ด้าน คยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟประเทศไทย (UNICEF Thailand) ระบุว่า การที่เด็กอายุ 10 ปีขึ้นไปกว่า 70% ทั่วโลกขาดความสามารถในการอ่านเขียนเรื่องง่าย ๆ ซึ่งเป็นทักษะขั้นพื้นฐานจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ได้บั่นทอนโอกาสที่เด็กคนนั้นจะได้รับการพัฒนาจนเต็มศักยภาพ ทำให้ไม่มีทางเลือกมากนัก และบีบให้ต้องจำยอมตกเป็นเบี้ยล่างและการเอารัดเอาเปรียบของสังคม เช่น หากเป็นเด็กหญิงก็ต้องถูกบีบบังคับให้แต่งงานก่อนวัยอันควร กลายเป็นคุณแม่วัยใสที่ยังไม่พร้อม หรือหากเป็นเด็กชายก็กลายเป็นแรงงานเด็กราคาถูก

ปัจจุบันยังมีเด็กจำนวนไม่น้อยที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ในมุมมืดของสังคม อยู่ในจุดที่ยังไม่ได้รับการมองเห็น และต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้น หน่วยงานทุกฝ่ายต้องดำเนินการในเชิงรุก กล่าวคือเป็นฝ่ายที่ต้องเข้าหา เข้าถึงเด็ก ลงไปยังพื้นที่ที่พวกเขาอยู่ เพื่อให้เด็กแต่ละคนได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษาที่มีความเฉพาะเจาะจงในแบบที่พวกเขาต้องการ ขณะที่หน่วยงานทั้งหลายต้องประเมินผลติดตามอย่างต่อเนื่อง จนกว่าที่เด็กคนนั้นจะยืนด้วยกำลังของตนเองได้อย่างมั่นคง

คยองซอน-คิม
คยองซอน คิม

“หัวใจสำคัญคือ เราต้องจัดลำดับความสำคัญของปัจจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน รวมถึงการเพิ่มเงินลงทุน โดยเน้นการลงทุนแบบมีเป้าหมายชัดเจน เพื่อนำโอกาสทั้งหมดมาสู่เด็ก ๆ ไม่เพียงพัฒนาแค่ตัวนักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงระบบ เราจำเป็นต้องพัฒนาระบบเพื่อส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีสุขภาพกายและจิตที่ดี โรงเรียนจะต้องเป็นพื้นที่ปลอดภัย และคอยสนับสนุนผู้เรียนอยู่เสมอ”

การศึกษาไม่ใช่แค่เรื่อง SDG4

ขณะที่ ริกะ โยโรซุ หัวหน้าสำนักงานบริหารและผู้ประสานงานโครงการระดับภูมิภาค สำนักงานยูเนสโก กรุงเทพฯ กล่าวว่า ทุกฝ่ายจำเป็นต้องสร้างความเสมอภาคเท่าเทียมทางการศึกษาให้แก่เด็ก ๆ ทั้งเด็กที่อยู่ในโรงเรียนและนอกโรงเรียน ฉะนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับการศึกษาแบบอยู่ในโรงเรียน หรือผ่านระบบการศึกษาทางเลือก จะต้องมีการประเมินและรับรู้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้พวกเขาสามารถเรียนรู้ต่อไปได้

ริกา-โยโรซุ
ริกะ โยโรซุ

ริกะอธิบายว่า การให้ความสำคัญกับการศึกษา ไม่ใช่เพียงเพราะเป็นเรื่องของ SDG4 หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal 4) เท่านั้น แต่เพราะการศึกษาที่เท่าเทียมไม่ใช่อนาคต แต่เป็นปัจจุบัน ดังนั้น ทุกฝ่ายจึงต้องทำให้แน่ใจว่า เด็กและเยาวชนจะได้รับการเรียนรู้อย่างเท่าเทียม และได้เรียนรู้ในสิ่งที่พวกเขาสนใจจริง ๆ

“หวังอย่างยิ่งว่า เราจะสามารถเรียกเด็กรุ่นนี้ว่าเป็นรุ่นแห่งความสุขในอีก 10 ปีข้างหน้า ผ่านความร่วมมือร่วมใจกัน และสนับสนุนด้านการศึกษาของเรา”

วรางคณา-มุทุมล
วรางคณา มุทุมล

ส่วน วรางคณา มุทุมล ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์ คุณภาพโปรแกรมและผลกระทบ องค์การช่วยเหลือเด็กประจำประเทศไทย (Save the Children) เสริมว่า นอกจากการปรับหลักสูตรการศึกษาและให้ความช่วยเหลือเด็กที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว คุณครูก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนเช่นกัน ในฐานะผู้ที่เป็นหัวใจในการถ่ายทอดความรู้ ขัดเกลาบ่มเพาะทักษะทางอามณ์และสังคม ซึ่งเป็นซอฟต์สกิลที่สำคัญสำหรับโลกยุคใหม่

“ทุกฝ่ายต้องสนับสนุนการศึกษาทั้งระบบ ไม่ใช่มุ่งให้ความสำคัญแต่เด็กนักเรียนเท่านั้น เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูสู่การศึกษาที่ยั่งยืน การหาแนวทางแก้ไขร่วมกันในระดับนานาชาติ ว่าจะสนับสนุนพัฒนาคุณครูอย่างไร จะดูแลสุขภาพจิตของคุณครูที่ต้องรับมือกับความเครียด ภาระ และความขาดแคลนต่าง ๆ ได้อย่างไร และจะทำอย่างไรให้ครูจึงจะมีสถานะมากกว่าผู้อบรมสั่งสอน แต่เป็นทั้งเพื่อน คนรู้ใจ และปราการที่แข็งแกร่งในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้แก่เด็ก ๆ ได้”