เตือนระวังแรงเทขายหุ้นไทย คาดกรอบ SET แนวต้าน 1,630 แนวรับ 1,606 จุด

ตลาดหุ้น
REUTERS/Chaiwat Subprasom/File Photo

บล.ไทยพาณิชย์ ชี้ตลาดหุ้นไทยมีปัจจัยหนุน “เงินเฟ้อสหรัฐ” ชะลอ เตือนระวังแรงเทขายทำกำไร คาดกรอบ SET แนวต้านถัดไป 1,630 และ 1,643 แนวรับ 1,606 จุด

วันที่ 15 สิงหาคม 2565 บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCBS วิเคราะห์แนวโน้มตลาดหุ้นไทยวันนี้ว่า คาดว่า SET แม้ในระยะสั้นจะซิกแซ็กปรับขึ้นได้ต่อ โดยมีแนวต้านถัดไปที่ 1,630 และ 1,643 จุดตามลำดับ จากปัจจัยหนุนเงินเฟ้อสหรัฐที่ชะลอตัว อย่างไรก็ตาม ยังให้ระมัดระวังแรงขายทำกำไรหลังดัชนีขึ้นมาต่อเนื่อง และสัญญาณเทคนิคที่ร้อนแรงทำให้มีโอกาสพักตัว

ด้านกรอบล่างอยู่ที่แนวรับ 1,606 จุด หากต่ำกว่า จะเริ่มเป็นสัญญาณลบ และมีแนวรับถัดไปที่ 1,593 จุด
โดยประเด็นสำคัญช่วงนี้ ได้แก่ ผลสำรวจผู้บริโภคสหรัฐลดคาดการณ์เงินเฟ้อ 1 ปีข้างหน้าเหลือ 5% ต่ำสุดรอบ 6 เดือน ขณะที่นักลงทุน จับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่แจ๊คสัน โฮลวันที่ 25-27 ส.ค.นี้ คาดประธานเฟดจะส่งสัญญาณทิศทางดอกเบี้ย

ยังมีปัจจัยที่แม่น้ำไรน์ในเยอรมนีตื้นเขิน ทำให้เรือขนส่งสินค้าต้องลดน้ำหนักบรรทุกกระทบกับโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 แห่งของเยอรมนี รวมถึงสวิตเซอร์แลนด์ด้วย

นอกจากนี้ ต้องจับตา Cyber War ว่าจะสร้างความเสียหายระบบเศรษฐกิจ-โครงสร้างพื้นฐาน จากการโจมตีกลุ่มแฮกเกอร์นิรนามกับรัฐบาลรัสเชีย

ส่วนในประเทศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กังวลว่าการขึ้นดอกเบี้ยจะกระทบอุตสาหกรรมก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ ผลิตไฟฟ้า-พลังงานหมุนเวียน และปิโตรเครมี แนะภาครัฐช่วยเหลือลูกหนี้ SME
ด้านคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เลื่อนตัดสินดีลควบรวม TRUE-DTAC ไปอีก 30 วัน ขณะที่กรรมาธิการ (กมธ.) เสนอรายงานไปยังนายกรัฐมนตรี คัดค้านดีลควบรวมว่าอาจมีความเสี่ยง มีอำนาจเหนือตลาด ค่าบริการอาจพุ่งสูง 200%

ขณะที่วันนี้ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) รายงานอัตราขยายตัวทางด้านเศรษฐกิจ (GDP) ไตรมาส 2 ปี 2565 คาดเติบโตที่ 2.1% ต่อปี (YOY) นอกจากนี้ ยังต้องติดตามการที่นายกรัฐมนตรีจะประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการลงทุน

ส่วนกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากระดับความเสี่ยงด้าน Market Risk เริ่มลดลง หลังเงินเฟ้อสหรัฐ มีสัญญาณชะลอตัว ซึ่งคาดจะช่วยให้เฟดไม่จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในระดับ 0.75% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ และถือเป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น แต่ด้วยปัจจัยความเสี่ยงสงครามรัสเชีย-ยูเครนที่ยังยืดเยื้อ และเศรษฐกิจถดถอยในยุโรป ยังคงต้องระมัดระวังต่อไป

กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำ “Selective Buy” ในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี และ/หรือ มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้

1) หุ้น Big Cap. ที่คาดได้อานิสงส์จาก Fund Flow ที่มีแนวโน้มไหลเข้า และ Valuation ยังไม่แพง เลือก KBANK และ BDMS

2) หุ้นได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวฟื้นตัวซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตดีทั้ง YoY และ QoQ เลือก ERW, MINT, CRC และ AOT

3) หุ้นที่ผลการดำเนินงาน 2H65 ยังมีแนวโน้มโตดี และมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในช่วง ส.ค.-ก.ย. เลือก PTT, BCP, LH และ SPALI

ช่วงสั้นแนะนำให้หลีกเลี่ยงหรือเพิ่มความระมัดระวังการลงทุน สำหรับกลุ่มที่มีปัจจัยลบกดดันผลประกอบการ และ/หรือ ราคาหุ้น ดังนี้

1) หุ้นที่คาดได้รับ Sentiment ลบจากการปรับลดเป้าส่งออกรถยนต์จากปัญหาขาดแคลนชิป อาทิ NYT, SAT, AH, STANLY

2) หุ้นอิเล็กทรอนิกส์อย่าง DELTA และ KCE หลังราคาหุ้นปรับขึ้นแรงแล้ว อีกทั้งล่าสุด guidance ของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำของโลกไม่สดใสและเริ่มเห็นสัญญาณคำสั่งซื้อชะลอตัว