เอกชนแห่ระดมทุนต่อ คาดหุ้นกู้ออกใหม่ปีกระต่าย ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้าน

หุ้น หุ้นกู้
Photo by Julio Cesar AGUILAR / AFP

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย คาดการณ์ปี 2566 เอกชนต้องการระดมทุนต่อเนื่อง หนุนยอดออกหุ้นกู้ใหม่ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท หลังปี 2565 ยอดหุ้นกู้ใหม่ทำออลไทม์ไฮแตะ 1.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากปีก่อนหน้า รายใหม่ออกเพิ่มขึ้น 30 บริษัท จาก 15 เซ็กเตอร์ ฟากมูลค่าคงค้างบอนด์รักษ์โลกเขียวสูงกว่า 501,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 66% มี 11 บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัลบนแอปพลิเคชั่นเป๋าตัง รวม 11 รุ่น มูลค่ารวม 29,074 ล้านบาท ประเมินปีนี้ กนง.ปรับขึ้นดอกเบี้ยน 2-3 ครั้ง สู่ระดับ 1.75-2% บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในกรอบ 20-30 bps

วันที่ 11 มกราคม 2566 ดร.สมจินต์ ศรไพศาล กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า คาดการณ์ในปี 2566 น่าจะได้เห็นยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท จากความต้องการของภาคเอกชนในการออกหุ้นกู้ที่ยังมีอย่างต่อเนื่อง

หลังจากยอดการออกหุ้นกู้ในปี 2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) ที่ 1.27 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นจากการออกของผู้ออกทั้งกลุ่ม Investment grade และกลุ่ม High yield รวมถึง Non-rated จากความต้องการที่สูงของภาคเอกชนในการออกหุ้นกู้เพื่อล็อกต้นทุนทางการเงินและเตรียมการรองรับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ดร.สมจินต์ ศรไพศาล
ดร.สมจินต์ ศรไพศาล

โดยในปี 2565 ได้มีผู้ออกหุ้นกู้ระยะยาวรายใหม่ (Newcomer) จำนวน 30 บริษัท จาก 15 หมวดธุรกิจ ส่วนหมวดธุรกิจที่มีการออกหุ้นกู้ระยะยาวสูงสุด 5 อันดับแรกคือ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ และหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

ดร.สมจินต์กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยในปี 2565 มีการเติบโตที่โด่ดเด่น โดยเห็นได้จากพัฒนาการ 5 ด้านที่สำคัญ คือ 1.การออกหุ้นกู้ทำออลไทม์ไฮที่ 1.27 ล้านล้านบาท นับเป็นปีที่ 3 ที่ยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวทะลุ 1 ล้านล้านบาท 2.การเสนอขายตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืน หรือ ESG Bonds (Environmental, Social and Governance) เพิ่มขึ้น 21% ในปี 2565 มีมูลค่าการออกรวม 210,994 ล้านบาท ทำให้มูลค่าคงค้างของ ESG Bonds สิ้นปี 2565 ขึ้นมาอยู่ที่ 501,990 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 66% จากสิ้นปี 2564

3.การเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล (Digital Bond) บนแอปพลิเคชั่นเป๋าตังในปี 2565 รวม 11 รุ่นจากผู้ออก 8 ราย คิดเป็นมูลค่ารวม 29,074 ล้านบาท 4.มีบริษัทหลักทรัพย์ที่เริ่มเข้าสู่ธุรกิจตราสารหนี้ (New Players) จำนวน 5 บริษัท และ 5.โมบายแอปพลิเคชั่น MeBond ที่พัฒนาโดย ThaiBMA ได้รับความนิยมจากนักลงทุนตราสารหนี้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มียอดดาวน์โหลดทะลุ 35,000 ครั้งในปี 2565 เพิ่มขึ้นกว่า 23,000 ดาวน์โหลดจากปี 2564

โดยมีมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยสิ้นปี 2565 อยู่ที่ 15.78 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.3% จากปี 2564 โดยมาจากตราสารหนี้ภาครัฐและหุ้นกู้ภาคเอกชนที่ขยายตัวในอัตรา 14% และ 9% ทำให้มีมูลค่าคงค้างที่ 7.77 ล้านล้านบาท และ 4.57 ล้านล้านบาท ตามลำดับ

ส่วนกระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund flow) ในปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิในช่วงไตรมาส 1 ก่อนจะเปลี่ยนเป็นการขายสุทธิในช่วงไตรมาส 2-3 แล้วจึงกลับเข้าซื้อสุทธิอีกครั้งในไตรมาส 4 เมื่อรวมทั้งปีพบว่านักลงทุนต่างชาติมียอดการซื้อสุทธิสะสมอยู่ที่ 4.7 หมื่นล้านบาท โดยสิ้นปี 2565 นักลงทุนต่างชาติมียอดการถือครองตราสารหนี้ไทยที่ระดับ 1.07 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 6.8% ของมูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทย โดยอายุคงเหลือเฉลี่ยของตราสารหนี้ที่นักลงทุนต่างชาติถือครองเท่ากับ 7.96 ปี

สำหรับการเคลื่อนไหวของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย (Government bond yieldcurve) ในปี 2565 ปรับตัวสูงขึ้นทุกรุ่นอายุ ตามทิศทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องของเฟด เพื่อคุมอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ทั้งปีมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 3 ครั้ง รวม 0.75% มาอยู่ที่ 1.25% ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ไทยรุ่นอายุ 2 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.97% จากสิ้นปีที่แล้วมาอยู่ที่ 1.63% ณ สิ้นปี 2565 ส่วนบอนด์ยีลด์ 10 ปี ปรับตัวสูงขึ้น 0.74% มาอยู่ที่ 2.64% เมื่อสิ้นปี 2565

ด้านเส้นอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ภาคเอกชน (Corporate bond yield curve) อายุ 5 ปีของหุ้นกู้ทุกอันดับเครดิตปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 ในทิศทางเดียวกันกับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทย ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนหุ้นกู้อายุ 5 ปีของผู้ออกทุกอันดับเครดิตสูงขึ้นโดยเฉลี่ย 59 pbs โดยสิ้นปี 2565 อันดับเครดิต AAA ขยับขึ้นมาที่ 2.72%, AA ที่ 3.07%, A ที่ 3.25%, BBB+ ที่ 4.31% และ BBB ที่ 5.03%

ทั้งนี้ขณะที่การสำรวจการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยของผู้ร่วมตลาด คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2-3 ครั้งในปี 2566 สู่ระดับ 1.75-2% ส่วนบอนด์ยีลด์รุ่นอายุ 5 ปี และ 10 ปี ตลาดมีการคาดการณ์ว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยในกรอบ 20-30 bps จากสิ้นปี 2565