
คอลัมน์ : Smart SMEs ผู้เขียน : ดวงกมล ลิมป์พวงทิพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา
ช่วงปลายปี 2565 ที่ผ่านมานี้ ในวงการการตลาด ศิลปะและเทคโนโลยีด้านดิจิทัล กล่าวถึงการพัฒนาของ AI (artificial intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นที่ฮือฮาเป็นอย่างมากว่าที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในงานด้านการตลาดในรูปแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นก็คือ AI ที่มีชื่อว่า Midjourney และอีกตัวคือ ChatGPT ซึ่งที่สำคัญคือทั้งสองตัวเป็นปัญญาประดิษฐ์ที่เปิดกว้างให้กับผู้ใช้ทั่วไปสามารถเข้าถึงและใช้งานได้ง่ายกันเลยทีเดียว
โดยผู้ประกอบการธุรกิจเองก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับงานด้านการตลาดได้ ซึ่งทั้งผู้ทดลองใช้ นักวิชาการ นักการตลาด ได้มีการพูดถึงความสามารถอันน่าทึ่งของ AI สองตัวนี้ ถึงกับตั้งคำถามว่า AI อาจจะมาแย่งงานที่มนุษย์เคยมองว่า AI ไม่สามารถทำงานประเภทนี้ได้กันเลยทีเดียวในอนาคตอันใกล้นี้
โดย Midjourney คือ AI ที่จะช่วยในการวาดภาพประกอบตามคำสั่งที่มนุษย์ป้อนลงไป ด้วยคีย์เวิร์ดต่าง ๆ ซึ่ง AI ตัวนี้ก็จะลองสร้างภาพขึ้นมา หลายรูปแบบให้เลือก ภายในเวลาไม่กี่นาทีเท่านั้น ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้สวยงามระดับมืออาชีพ ที่สามารถนำไปใช้เป็นภาพประกอบหรือไอเดียสำหรับงานด้านการตลาดหรือภาพประกอบเนื้อหาเพื่อการสื่อสารการตลาดของธุรกิจได้
ส่วน ChatGPT คือ AI อีกตัว ที่สามารถตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ ได้อย่างดี จากการเรียนรู้เนื้อหาทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต จนได้รับการเปรียบเทียบว่าเป็นคู่แข่งของ Google ที่ไม่ใช่แค่ค้นหา link ของข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แต่กลับมีความสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนและยังสามารถแจกแจงรายละเอียดในรูปแบบบทความได้ จึงได้มีการนำมาประยุกต์ใช้หลาย ๆ ด้าน
รวมถึงการเขียนบทความ หรือแม้กระทั่งหาข้อมูลประกอบต่าง ๆ ในยุคที่ธุรกิจให้ความสำคัญกับการทำ content marketing ในการสร้างเนื้อหาและแบ่งปันข้อมูลที่เป็นประโยชน์เพื่อทำให้ผู้อ่านประทับใจและจดจำสินค้าหรือแบรนด์ จนเปลี่ยนสถานะมาเป็นลูกค้าต่อไป
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเริ่มต้นนี้ Midjourney จะมีการให้ทดลองใช้ฟรีจำนวนหนึ่ง และหากต้องการใช้งานเพิ่มก็จะมีค่าใช้จ่ายรายเดือน โดยมีให้เลือกระหว่าง 10 กับ 30 ดอลลาร์ต่อเดือน ตามจำนวนภาพที่ต้องการสร้าง และต้องใช้ผ่านโปรแกรม chat ที่มีชื่อว่า Discord อีกที ส่วน ChatGPT นั้น ต้องสมัครใช้งานผ่านเว็บไซต์ OpenAI
ซึ่งหากต้องการเขียนบทความเป็นภาษาไทย ตอนนี้อาจจะยังไม่สมบูรณ์มากนัก จำเป็นจะต้องมีการเกลาคำ หรือปรับแต่งข้อความโดยมนุษย์อีกที แต่ก็ถือเป็นการทุ่นเวลาในการเขียนเองได้ระดับหนึ่ง หรืออาจจะเป็นการให้เขียนบทความเป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วจึงนำมาแปลงเป็นภาษาไทยโดยโปรแกรมแปลงภาษา ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้เช่นกัน ซึ่งในอนาคตด้วยความเป็น AI หากมีการใช้งานเพิ่มมากยิ่ง ๆ ขึ้น ตัว AI เองก็จะมีการเรียนรู้และพัฒนาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ดังจะเห็นได้ว่าในโลกดิจิทัลยุคใหม่นี้ การเข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ มักเป็นระบบเปิด ซึ่งเอื้อให้มวลชนหรือคนตัวเล็ก และธุรกิจเล็กได้มีโอกาสเข้าถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้
สำคัญที่ว่าผู้ประกอบการธุรกิจจะต้องหมั่นเปิดตา เปิดใจ พร้อมกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่อยู่เสมอ และเสริมทัพคนรุ่นใหม่ ๆ เข้ามาในองค์กรที่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็จะสามารถนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านั้นมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลา ลดต้นทุนการทำงานให้กับองค์กรได้
และสำหรับใครที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม ลอง search หาข้อมูลใน Google ได้ ตอนนี้มีบทความหรือวิดีโอคลิปที่แนะนำหรือสอนเกี่ยวกับการใช้งาน AI ทั้งสองตัวนี้มากมายเลยทีเดียว ผู้เขียนได้ไปทดลองใช้งานมาแล้ว เรียนรู้ได้ไม่ยากเลยค่ะ