“เฟด” ถอนคันเร่ง หนุน SET ไปต่อ

เฟด
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตลงทุน
ผู้เขียน : เอกภาวิน สุนทราภิชาติ บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX)

สวัสดีครับ ท่านนักลงทุน SET อ่อนตัวลงเล็กน้อย หลังยังไม่ผ่านระดับ 1,700 จุด โดยมีแรงกดดันจากผลประกอบการของกลุ่มธนาคาร และหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่ทยอยประกาศออกมาต่ำกว่าคาด นอกจากนี้การที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเอกฉันท์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ 1.50% แต่ส่งสัญญาณ Hawkish ขึ้น หลังกลับมากังวลเงินเฟ้อ

โดยรวมจึงเป็นปัจจัยฉุดรั้งการขยายตัวของตลาดหุ้นไทยให้ยังไม่สามารถทะลุผ่าน 1,700 จุดขึ้นไปได้

ทั้งนี้ SET ลงไปสร้างฐานบริเวณ 1,670 จุด และเริ่มทรงตัวได้ไปจนถึงฟื้นตัว หลังผลประชุมเฟดล่าสุดออกมาในโทนสร้าง sentiment เชิงบวกให้กับตลาด

โดยผมขอนำบทวิเคราะห์ของ InnovestX สรุปผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้กับท่านนักลงทุน มีประเด็นน่าสนใจ ดังนี้ ครับ

1) FOMC (คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ) ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายตามคาด จาก 4.25-4.50% (ค่ากลาง 4.4%) เป็น 4.50-4.75% (ค่ากลาง 4.6%) และยังคงแผนการลดขนาดงบดุล (มาตรการ QT) ต่อไป

2) ในการแถลงข่าว แม้ประธานเฟดจะส่งสัญญาณว่ายังคงกังวลเงินเฟ้อ แต่ก็เริ่มเห็นสัญญาณว่าเงินเฟ้อเริ่มชะลอลง และคำที่น่าสนใจคือ “The job is not fully done.” ซึ่งเป็นการกล่าวเป็นนัยว่า Job is half-done หรือทำมาได้กลางทางแล้ว พร้อมทั้งยอมรับว่ากระบวนการทำให้เงินเฟ้อลดลงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

3) InnovestX วิเคราะห์ว่า ที่ผ่านมาตลาดคาดว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย 50 bps ในช่วงปลายปี ซึ่งเฟดไม่ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนในประเด็นดังกล่าว ตลาดจึงตอบรับในเชิงบวกมาก โดย CME Fed Watch Tool ให้โอกาส 84% การขึ้นดอกเบี้ย 25 bps ในการประชุมครั้งหน้า (16 มี.ค.)

และคงไว้ที่ 4.75-5.00% (ค่ากลาง 4.8%) และเริ่มลด 25 bps ในการประชุมวันที่ 1 พ.ย. และ 13 ธ.ค. ทำให้ดอกเบี้ย ณ สิ้นปี ไปอยู่ที่ 4.25-4.50% (ค่ากลาง 4.4%)

และ 4) InnovestX ยังคงมุมมองเดิมว่าเป็นไปได้ที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ทำให้ดอกเบี้ยไปอยู่ที่ 5.00-5.25% (ค่ากลาง 5.1%) ตามที่เฟดส่งสัญญาณ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยจะใกล้ไปอยู่ที่ช่วงดอกเบี้ยนโยบายที่แท้จริงเป็นบวก ซึ่งจะเริ่มกดดันเศรษฐกิจมากขึ้น

ขณะที่ความเสี่ยงเศรษฐกิจและภาคการเงินช่วงกลางปีที่มีมากขึ้น (เช่น ผลประกอบการออกมาแย่มากขึ้น บริษัทมีความเสี่ยงล้มละลายมากขึ้น หรือความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของรัฐบาลสหรัฐ) จะทำให้ตลาดมีความผันผวน ซึ่งเป็นเหตุผลว่า จะทำให้เฟดต้องเริ่มลดดอกเบี้ยในที่สุด

ทั้งนี้จากสรุปผลประชุมเฟด และการตีความว่าเฟดใกล้ปลายทางสำหรับการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว เนื่องจากเงินเฟ้อสหรัฐชะลอตัวลงแล้ว รวมถึงมีโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี ซึ่งผมมองเป็นปัจจัยด้านบวกต่อตลาด โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวในสินทรัพย์เสี่ยง

ส่งผลให้มอง SET มีโอกาสจะกลับมาปรับตัวขึ้นได้ต่อ โดยรอบนี้มีโอกาสขึ้นทะลุบริเวณ 1,700 จุดได้ และเป้าหมายของ SET ที่มีโอกาสไปได้ตามมุมมองของ InnovestX อยู่ที่บริเวณ 1,750 จุด

ทางด้านกลยุทธ์แนะนำ selective buy ในกลุ่มหุ้นที่มีปัจจัยเด่นเฉพาะตัว คาดว่าจะเคลื่อนไหวได้ดีกว่าภาพตลาดโดยรวม ได้แก่

1) กลุ่มหุ้นที่คาดได้รับอานิสงส์เม็ดเงินสะพัดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจจากการเข้าใกล้สู่ช่วงการเลือกตั้งของไทย เลือก BEC, CENTEL, CPN และ MAJOR และ 2) หุ้นที่คาดผลประกอบการ 4Q65-1Q66 มีแนวโน้มเติบโตดี เลือก ERW, MINT, BLA, BEM, CPALL, CRC และ MAKRO

ส่วนอีกทางเลือก สำหรับท่านนักลงทุน ผมยังแนะนำหุ้นแนะนำประจำปี 2566 ของ InnovestX 10 ตัว ได้แก่ 1) AOT เป็นหุ้นได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศของจีน 2) AU ความหวานที่เริ่มลงตัว โดยคาดกำไรฟื้นตัวเด่น และกลับมาขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้น 3) BBL ชอบสุดในกลุ่ม จากกำไรที่เติบโตเด่นสุด แต่เป็นธนาคารที่ปลอดภัยสุด (สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ กระทบจำกัดจากภาวะเศรษฐกิจ และมีการตั้งสำรองในระดับสูง)

4) BDMS กำไรเติบโตอย่างปลอดภัย และผู้ป่วยต่างชาติกลับมาดี จากการเปิดประเทศ 5) CPALL เป็นหุ้นค้าปลีกที่มีการเติบโตโดดเด่น 6) CRC ยังอยู่ในเส้นทางการฟื้นตัว 7) GPSC มองแนวโน้มดีขึ้นในปี 2023 จากการปรับค่า Ft ช่วยชดเชยต้นทุนเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น

8) HANA มองภาพรวมอุตสาหกรรมฟื้นตัวในครึ่งหลังปี 2023 9) SCGP คาดกำไรพลิกกลับมาเติบโตในปี 2023 จากธุรกิจหลัก และการทำ M&A และ 10) SECURE มองปัจจัยกดดันลดลงพร้อมกลับมาเติบโตอีกครั้ง

แล้วพบกันใหม่ในคอลัมน์ฉบับหน้า ด้วยรัก และหวังดี