เปิดผลสำรวจ “ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน” ในอีก 3 เดือนข้างหน้า

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

สภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า พบกลับมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” จากความเห็นของ “รายย่อย-บัญชีบริษัทหลักทรัพย์-ต่างชาติ” ส่วน “สถาบัน” ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหนุนตลาดหุ้นไทย สวนทางฟันด์โฟลว์ปัจจัยฉุดตลาด จับตาความชัดเจนแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท ฟันด์โฟลว์ไหลออกจากตลาดเกิดใหม่กลับไปสู่ตลาดพัฒนาแล้ว

วันที่ 6 ตุลาคม 2566 นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) ผลสำรวจในเดือนกันยายน 2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 20-30 กันยายน 2566) พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (เดือน ธ.ค. 2566) อยู่ที่ระดับ 112.14 ปรับลง 20.6% จากเดือนก่อนหน้า กลับมาอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”

โดยนักลงทุนมองว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และคาดหวังการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) ในขณะที่ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ การไหลออกของฟันด์โฟลว์ รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และสถานการณ์การเมืองในประเทศ

อย่างไรก็ดี ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนสถาบันอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” แต่กลุ่มนักลงทุนบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” โดยหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) ส่วนหมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)

“ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการไหลออกของฟันด์โฟลว์เป็นปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด”

สำหรับผลสำรวจในเดือน ก.ย. 2566 พบว่าความเชื่อมั่นนักลงทุนทุกกลุ่มปรับตัวลดลง โดยกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับลด 27.3% อยู่ที่ระดับ 120.00 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับลด 1.2% อยู่ที่ระดับ 111.11 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 0.6% อยู่ที่ระดับ 146.15 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 20.0% อยู่ที่ระดับ 100.00

ดัชนี SET Index ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งเดือน ก.ย. 2566 จากความกังวลสถานการณ์เงินเฟ้อท่ามกลางราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หลังกลุ่มโอเปคและรัสเซียประกาศลดปริมาณการผลิตน้ำมัน อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงกว่าคาด จนส่งผลให้ กนง.ปรับดอกเบี้ยนโยบายเพิ่มขึ้น 0.25% ต่อปี จาก 2.25% เป็น 2.50% ต่อปี

อีกทั้งได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทอ่อน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลด้านการลดค่าไฟและน้ำมันดีเซล ส่งผลให้หลักทรัพย์ในกลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภคปรับตัวลดลง โดย SET Index สิ้นเดือน ก.ย. 2566 หลุดกรอบ 1,500 จุด มาปิดที่ 1,471.43 ปรับตัวลดลง 6% จากเดือนก่อนหน้า ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในเดือน ก.ย. 2566 อยู่ที่ 56,218 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องกว่า 22,436 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวมกว่า 155,372 ล้านบาท

โดยปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางในประเทศเศรษฐกิจหลัก เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมาย มาตรการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของธนาคารกลางจีน และทิศทางการไหลออกของเงินทุนจากตลาดเกิดใหม่กลับไปสู่ตลาดพัฒนาแล้ว

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ มาตรการและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่หลายภาคส่วนมองว่าอาจสร้างแรงกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในระยะสั้น เนื่องจากไม่ได้เป็นนโยบายที่ทำให้เกิดการลงทุนในระยะยาว รวมถึงงบประมาณที่มีจำกัด อาทิ ความชัดเจนของโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาท มาตรการลดค่าไฟ ลดราคาพลังงาน พักหนี้เกษตรกร

นอกจากนี้ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวเป็นอีกปัจจัยที่น่าติดตาม หลังรัฐบาลประกาศฟรีวีซ่าจีนและคาซัคสถาน และการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดทุนไทย หลังกระทรวงการคลังประกาศไม่มีนโยบายเก็บภาษีจากการซื้อขายหุ้นและภาษีกำไรจากการซื้อขายหุ้น