
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
มุมมองเรื่องดอกเบี้ยของไทยยังคงเป็นที่ถกเถียงกันค่อนข้างมาก “ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “ดร.อมรเทพ จาวะลา” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทยนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ไฟแรง ถึงมุมมองเรื่องเหล่านี้
รอบนี้ กนง. คงดอกเบี้ย
ดร.อมรเทพกล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบนี้คงยังไม่มีการลดอกเบี้ย แม้ว่าเงินเฟ้อจะติดลบ โดยเงินเฟ้อที่ลดลง มาจากทั้งมาตรการภาครัฐ และสินค้าเกษตรที่ออกมามาก แต่หากดูเงินเฟ้อพื้นฐาน พบว่ายังเป็นบวกอยู่ แต่ก็ถือว่าต่ำ สะท้อนว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโตช้า อย่างไรก็ดี คงยังไม่ใช่แรงกดดันที่ถึงขนาดต้องรีบลดดอกเบี้ยในปัจจุบัน
“ก็ห่วงว่าเศรษฐกิจเริ่มโตช้าลง ต้องการนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเพิ่มเติมเพื่อสนับสนุน แต่การจะลดดอกเบี้ย เรามองเรื่องไทมิ่ง หรือระยะเวลา โดยหากจะลดตั้งแต่วันนี้เลย ในขณะที่สหรัฐยังไม่มีท่าทีว่าจะรีบลด แต่อาจจะคงดอกเบี้ยต่อ
ดังนั้นถ้าเราไปเปลี่ยนนโยบายการเงินที่สวนทางกับสหรัฐ หรือประเทศสำคัญ ๆ ถามว่าทำได้ไหม ก็ทำได้ เพราะเราก็มีบทบาท มีนโยบายการเงินของตัวเอง แต่ว่าต้องยอมรับว่ามีผลข้างเคียง ที่เรากังวลก็คือ ความน่าสนใจของเงินบาทจะลดลง”
ทั้งนี้ หากรีบลดดอกเบี้ยก่อนที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะลด จะทำให้เงินไหลออกจากไทยมากขึ้น แล้วเงินบาทก็จะอ่อนค่ามากยิ่งขึ้น แล้วหากเปิดประตูการลดดอกเบี้ยแล้ว ก็อาจจะมีการลดต่อเนื่องกันเป็นซีรีส์เพื่อพยุงเศรษฐกิจ ซึ่งก็น่าห่วงว่าเงินบาทอาจจะวิ่งไปถึง 40 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐได้ ก็จะกระทบการนำเข้าสินค้า โดยเฉพาะพลังงาน น้ำมัน วัตถุดิบต่าง ๆ ก็จะราคาแพงขึ้นมาก
ขณะที่หากมองอีกมุมหนึ่งก็คือ ถ้าเงินบาทอ่อนก็จะช่วยการส่งออก และรายได้จากการท่องเที่ยวจะดีขึ้น รวมถึงการลดดอกเบี้ยก็จะช่วยให้คนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น รวมทั้งแบงก์ปล่อยสินเชื่อได้ดีขึ้น แต่ว่าการส่งผ่านนโยบายการเงินจะต้องใช้เวลา 1-2 ไตรมาส
“คลัง-ธปท.” ต้องคุยกัน
ดร.อมรเทพกล่าวว่า กระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะต้องมาคุยกัน ว่าอยากเห็นภาพอย่างไร หากทำอะไรแล้วมีผลข้างเคียง จะดูแลอย่างไร อย่างเช่น หากต้องนำเข้าพลังงานในราคาสูง สุดท้ายรัฐก็อาจจะต้องอุ้มราคาน้ำมัน และเพิ่มภาระของกองทุนน้ำมันฯ หรือเพิ่มภาะทางการคลังให้มีมากขึ้นไปอีก
“การใช้ดอกเบี้ย ไม่ใช่ยารักษาทุกโรค มันอาจจะมีผลข้างเคียงได้ คงจะต้องติดตามให้ดี ซึ่งเรายังสนับสนุนการใช้มาตรการทางการคลัง ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ยังเติบโตช้าในปัจจุบัน ส่วนที่ถามกันว่า วันนี้เศรษฐกิจวิกฤตหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่า วิกฤตเป็นบางส่วน อย่างเช่นในภาคเกษตร ที่ราคาตกต่ำ ต้นทุนการผลิตที่สูง เอสเอ็มอีที่แข่งขันยาก โดยเฉพาะสินค้าจีนที่เข้ามามาก”
ดร.อมรเทพกล่าวว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นหย่อม ๆ ไม่ควรใช้นโยบายการเงินแบบหว่านแหในการแก้ แต่ควรใช้นโยบายการคลังหรือนโยบายอื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตจะดีกว่า
คาดดอกเบี้ยไทยลดกลางปี
สำหรับการลดดอกเบี้ยควรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่นั้น ดร.อมรเทพกล่าวว่า หากจะไม่ให้เป็นผลลบกับทุนเคลื่อนย้าย ก็น่าจะลดดอกเบี้ยหลังจากเฟดลดดอกเบี้ยแล้ว โดยขณะนี้การลดดอกเบี้ยของเฟดคาดว่าจะไม่ใช่เดือน มี.ค. นี้แล้ว แต่น่าจะไปลดได้ประมาณเดือน พ.ค. ซึ่งหากดอกเบี้ยของไทยลดในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ก็ไม่น่ามีผลกระทบกับทุนเคลื่อนย้าย
“อย่าลืมว่าตอนนี้ดอกเบี้ยไทย ต่ำแทบจะที่สุดในภูมิภาค ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยของเรากับสหรัฐกว้างมาก ๆ เป็นรองแค่เงินเยน ญี่ปุ่น โดยตั้งแต่ต้นปีมา เงินบาทอ่อนค่าไปเกิน 4.5% แล้ว ซึ่งเราก็ไม่อยากให้เงินบาทอ่อนจนเกินไป อยากให้เกาะกลุ่มกับภูมิภาค ไทมิ่งที่ดีก็ควรจะลดใกล้ ๆ กับเฟด”
แนะผ่อน LTV-ลดนำส่ง FIDF
ดร.อมรเทพกล่าวด้วยว่า ยังมีมาตรการทางการเงินอื่น ๆ นอกเหนือจากการลดดอกเบี้ยที่สามารถสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงนี้ได้ ซึ่งอยากเห็นทาง กนง. หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คุยร่วมกับกระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาการผ่อนคลายมาตรการทางการเงินบางส่วน
อาทิ 1.มาตรการ LTV (Loan to Value) ที่ควรผ่อนคลายเกณฑ์การให้สินเชื่อให้ทำได้สะดวกขึ้น 2.ผ่อนปรนการนำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ที่ปัจจุบันเก็บที่ 0.46% ของเงินฝากรวมของแต่ละแบงก์
“แน่นอนว่าทุกอย่างมีผลข้างเคียงหมด ทั้งเรื่องหนี้ที่ยังสูง ทำแล้วอาจจะไปสนับสนุนให้หนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นอีก หรือการนำส่งเงิน FIDF ที่จะทำให้ใช้คืนหนี้ได้ช้าลง ทุกอย่างมีปัญหาทั้งนั้น ดังนั้นก็เลยมองว่า การแก้ปัญหาไม่มีอะไรที่เบ็ดเสร็จตายตัว ต้องประเมินผลข้างเคียงด้วย จึงอยากให้คุยกัน คุยในเชิงบวก เพราะวันนี้เรากำลังเลี้ยงบอล กองหน้า กองหลังเตะกันไป เตะกันมา แต่ไม่มีคนยิงเข้าประตู คนดูก็ไม่รู้จะเชียร์ทีมไหน ผมว่าเราขาดโค้ช หรือคนที่มากำกับทีมเศรษฐกิจให้มีทิศทางการทำงานที่ชัดเจน”