เศรษฐกิจซึมลึก รุมบี้ลดดอกเบี้ย นายกฯกระทุ้งกนง. ประชุมนัดพิเศษ

เศรษฐา ทวีสิน

เศรษฐกิจโตต่ำ-ซึมยาว นายกฯเศรษฐากระทุ้ง กนง.ประชุมนัดพิเศษก่อน 10 เม.ย. สภาพัฒน์ยอมรับถึงเวลาแบงก์ชาติต้องพิจารณาปรับลดดอกเบี้ย เศรษฐกิจโตต่ำกว่าคาด ห่วงปัญหาหนี้เสียครัวเรือนเตรียมนัดหารือ ธปท. “ดร.อมรเทพ-CIMBT” ชี้ขาดเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจ หนุนแบงก์ชาติให้ความสำคัญการเติบโตเศรษฐกิจมากขึ้น และลดน้ำหนักเสถียรภาพ ยอมรับต้องระวังผลกระทบเงินบาทอ่อนค่า “พิพัฒน์-KKP” เผยมีช่องว่าง “ลดดอกเบี้ย” แต่ไม่ใช่เครื่องมือหลัก เพราะไม่ได้แก้ปัญหาหลัก “งบประมาณ-ภาคการผลิต”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ได้เปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจไทย ปี 2566 ระบุว่า ขยายตัวเพียง 1.9% หลังตัวเลขไตรมาสสุดท้ายขยายตัวเพียง 1.7% และติดลบ 0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในปี 2567 นี้ คาดว่าจะขยายตัว 2.2-3.2% ต่อปี หรือค่ากลาง 2.7% ปรับลดลงจากเดิมที่เคยคาดว่าปีนี้จะขยายตัวได้ 2.7-3.7% หรือค่ากลาง 3.2%

สภาพัฒน์ชี้ถึงเวลาลดดอกเบี้ย

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า แม้ที่ผ่านมาการบริโภคยังขยายตัวได้ดี แต่สัดส่วนหนี้ครัวเรือนยังมีปัญหาอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง ครัวเรือนรายได้น้อยและธุรกิจเอสเอ็มอี ดังนั้นในระยะถัดไป มาตรการการเงินควรเข้ามามีส่วนช่วยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจมากขึ้น ตอนนี้ภาครัฐได้ดำเนินมาตรการทางด้านการคลังไปหมดแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณาในช่วงถัดไปคือ มาตรการการเงิน เพื่อช่วยลดภาระของเอสเอ็มอีและภาคครัวเรือน โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย เพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยในกลุ่มครัวเรือนและเอสเอ็มอีแคบลง

นอกจากนี้ควรผ่อนคลายมาตรการด้านสินเชื่อ เนื่องจากช่วงที่ผ่านมาจะมีสินเชื่อที่ต้องกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) เริ่มเป็นหนี้ด้อยคุณภาพ หรือหนี้เสีย (NPL) เพิ่มจำนวนมากขึ้นมาก โดยอาจต้องผ่อนเกณฑ์กลับไปให้ผ่อนชำระบัตรเครดิตขั้นต่ำ 5% อีกครั้ง จากที่ขึ้นมาเป็น 8% ในช่วงต้นปี 2567 เพื่อให้เอสเอ็มอีที่ใช้สินเชื่อบัตรเครดิต ให้มีกำลังการใช้จ่ายมากขึ้น ถ้าใช้ประกอบกับเรื่องลดดอกเบี้ยด้วย ก็เชื่อว่าจะไม่ทำให้ SM ไหลไปเป็น NPL

เลขาธิการ สศช.กล่าวว่า การลดดอกเบี้ยนั้นต้องพิจารณาให้เกิดประโยชน์กับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะภาคธุรกิจและภารครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ต้องดำเนินมาตรการควบคู่ไปกับการกำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อต่าง ๆ ให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการก่อหนี้เกินตัว

“เรื่องดอกเบี้ยขอให้ ธปท.เป็นผู้พิจารณาว่าเวลาที่เหมาะสมที่จะปรับลดจะเป็นเมื่อไรเพราะต้องพิจารณาในมุมอื่นด้วย เช่น เรื่องอัตราแลกเปลี่ยน แต่ถ้าทำได้เร็วก็จะมีผลต่อเศรษฐกิจได้เร็ว โดยการลดดอกเบี้ยต้องทำควบคู่ไปกับการกำกับด้านสินเชื่อที่เพิ่มขึ้น เพื่อไม่ให้ก่อหนี้เกินตัว” เลขาธิการ สศช.กล่าว

ADVERTISMENT

เศรษฐาจี้ประชุม กนง.นัดพิเศษ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง โพสต์ผ่าน “X” ในช่วงค่ำว่า ตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมฯบ่งบอกถึงสถานะของเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะ Critical Stage โดยเลขาธิการ สศช.ก็เห็นด้วยกับการที่ควรต้องมีการลดดอกเบี้ย

“อยากขอวิงวอนให้ กนง. เรียกประชุมคณะกรรมการเป็นการเร่งด่วน เพื่อพิจารณาการลดดอกเบี้ย โดยไม่คอยถึงการประชุม Scheduled ไว้”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับกำหนดการประชุม กนง. ครั้งต่อไปคือ วันที่ 10 เมษายน 2567

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้ให้สัมภาษณ์ในช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า จากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาสะท้อนถึงปัญหาการขยายตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมา จีดีพีของเราเฉลี่ยโตต่ำกว่า 2% ต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศ เทียบกับลำดับจีดีพีโลกก็ต่ำลงไปเรื่อย ๆ

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่รัฐบาลนี้เข้ามายังไม่สามารถใช้งบประมาณได้เลย และคาดว่าเร็วที่สุดที่จะใช้ได้คือ 1 เมษายน 2567 แต่ทุกกระทรวงได้ใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนดีขึ้น ต้องยอมรับว่าไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย ซึ่งหลายสำนักมีการปรับประมาณการจีดีพีลงอย่างต่อเนื่องทุกเดือน ซึ่งรัฐบาลได้พยายามดำเนินการทุกมาตรการที่มีอยู่ ขณะที่นโยบายดอกเบี้ยไม่ต้องใช้งบประมาณ ซึ่งขณะนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.5% หากลดลงเหลือ 2.25% เพียงสลึงเดียวก็จะช่วยบรรเทาภาระของประชาชนได้

สภาพัฒน์เตรียมนัดหารือ ธปท.

เลขาธิการสภาพัฒน์ตอบข้อซักถามสื่อมวลชนเพิ่มเติมถึงกรณี เรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายว่า เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาค่อนข้างจะต่ำกว่าที่คาดไว้ และตัวเลขของตัวหนี้ค้างชำระ หรือสินเชื่อกล่าวถึงพิเศษ (SM) และหนี้เสีย (NPL) ก็น่าเป็นห่วง ซึ่งคิดว่าน่าจะต้องพูดคุยเรื่องนี้กับ ธปท.

อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจ ธปท.ด้วย เพราะผู้ว่าการ ธปท.ก็มีคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งยังมีกรรมการอีกหลายคน ต้องอาศัยการพูดคุยใน กนง.

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวถามว่า กนง.ควรจะมีการเรียกประชุมนัดพิเศษหรือไม่ นายดนุชากล่าวว่า ตนไม่มีความคิดเห็นในเรื่องนี้

เศรษฐกิจซึมยาว-ขาดแรงกระตุ้น

ดร.อมรเทพ จาวะลา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสำนักวิจัย และที่ปรึกษาการลงทุน ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำ และก็มีการพูดว่า จีดีพีอาจจะหดตัวเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ซึ่งก็เกิดขึ้นแล้วในไตรมาส 4/2566 เทียบกับไตรมาส 3/2566 ติดลบ 0.6% (QOQ) ซึ่งไม่ได้ผิดคาด เพราะตัวเลขภาคการผลิตและภาคการก่อสร้างก็ออกมาแย่ หลาย ๆ ตัวไม่ได้สนับสนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ดีมากนัก

“มองไปข้างหน้าคือ ไม่ได้มองว่าจะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แต่มองว่ามีความเสี่ยงที่เศรษฐกิจจะโตต่ำ ซึมยาว นี่น่าจะเป็นคำอธิบายภาวะเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ซึ่งภาพแบบนี้มันเกิดจากการขาดการกระตุ้น ทั้งการคลังและการเงิน โดยมาตรการการคลัง เราเข้าใจกันดีว่าขาดงบประมาณ เพราะ งบฯปี 2567 ล่าช้า ยังไม่มา ซึ่งจะมาในช่วงเดือน พ.ค. และคงจะสายเกินไปแล้ว”

ดร.อมรเทพกล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการ Easy e-Receipt ที่เพิ่งจะจบไป แต่ก็ไม่น่าช่วยกระตุ้นการบริโภคได้มากนัก และเสียดายที่ไม่มีมาตรการดูแลกำลังซื้อระดับล่างที่ยังมีปัญหาอยู่ ต้องรอดิจิทัลวอลเลตอย่างเดียว ซึ่งก็ทำให้ขาดโอกาสในการช่วยเศรษฐกิจไทยได้แรงกว่านี้ ในช่วงไตรมาส 1 และช่วงต้นไตรมาส 2

หนุนลดน้ำหนัก “เสถียรภาพ”

ดร.อมรเทพกล่าวว่า เมื่อขาดเครื่องยนต์อื่น ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว จึงต้องอาศัยกองหลัง นั่นคือ “นโยบายการเงิน” ที่ทำหน้าที่รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้อาจจะเป็นภาวะที่เศรษฐกิจไทยน่าจะต้องให้น้ำหนักเรื่องของการเติบโต โดยให้น้ำหนักเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจลดลงไปบ้าง เพื่อมาสนับสนุนการเติบโตให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเร่งปล่อยสินเชื่อ การลดดอกเบี้ยต่าง ๆ

“ดอกเบี้ยที่ว่า คือการชำระคืน ทั้งบัตรเครดิต หรือตัวอื่น ๆ อาจจะต้องมาดูให้การผ่อนชำระต่อเดือนลดลง แม้ว่าอาจจะทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะต้องชำระหนี้นานขึ้น เพราะว่าจ่ายได้แต่ดอกเบี้ย แต่ว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แล้วก็อาจจะทำให้การลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นได้ในรอบการประชุมหน้าเดือน เม.ย. จากเดิมเราคาดว่าจะเกิดกลางปี หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่ตอนนี้เฟดไม่น่าจะลดดอกเบี้ย ในช่วงเดือน มี.ค. หรือ พ.ค. ดังนั้นการรอต่อไปนาน ๆ เศรษฐกิจไทยไม่น่าจะสามารถฟื้นได้ เราอาจจะมีความเสี่ยงที่เรียกว่าซึมยาว ก็อาจจะกระทบกับแรงจูงใจ การจ้างงาน และภาวะเศรษฐกิจอื่น ๆ”

อย่างไรก็ดี ดร.อมรเทพกล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่า การลดดอกเบี้ย จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นทันที โดยการลดดอกเบี้ยหากจะสนับสนุนเศรษฐกิจ ก็ต้องลด 2-3 ครั้งต่อเนื่องกัน เพื่อเกิดแรงสนับสนุนให้คนนำเงินออมออกมาใช้จ่าย นำเงินมาลงทุน มีการจ้างงาน ทำให้เศรษฐกิจพลิกฟื้น ซึ่งต้องใช้เวลา อาจจะเป็นช่วงไตรมาส 3 จึงจะเห็นเศรษฐกิจฟื้นได้ จะไม่เหมือนมาตรการทางการคลังที่ใช้ได้ทันที

ระวังค่าเงินบาทอ่อน

“หากเลือกใช้นโยบายการเงิน ก็คงทำได้เป็นการประคองมากกว่า แต่ต้องยอมรับว่าอาจจะมีผลข้างเคียงที่กังวลกัน อย่างเรื่องของค่าเงินบาท ที่จะมีโอกาสอ่อนค่าแรงไป 37-40 บาทต่อดอลลาร์ จากการลดดอกเบี้ยนโยบาย ที่จะสวนทางกับสหรัฐ ตรงนี้จะต้องชั่งใจ ก็จะมีกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ คือ การนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค เช่น น้ำมัน ก็จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น”

ดร.อมรเทพกล่าวด้วยว่า สุดท้ายคงต้องมาดูว่า ภาครัฐจะมีมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างไร โดยวันนี้ตนยังอยากสนับสนุนให้ใช้มาตรการทางการคลัง เป็นตัวเดินหน้าเศรษฐกิจหลัก แต่ก็อาจจะต้องหารือกัน

“ถึงเวลาที่ต้องเจรจากัน ถ้าวันนี้เศรษฐกิจไม่ถึงขั้นวิกฤต แค่มีปัญหาเสี่ยง โตต่ำ ซึมยาว ต้องคุยกันว่าเราจะหามาตรการดูแลประชาชนอย่างไร”

ชี้ปัญหา “ไม่มีงบฯรัฐ-ภาคผลิต”

ขณะที่ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ KKP กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การลดดอกเบี้ยเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่โตแผ่วลงนั้น ก็พอมีช่อง (Room) ให้ลดได้อยู่ ซึ่งก็คงช่วยในแง่การลดภาระ หรือช่วยในแง่มาร์จิ้นของธุรกิจ อย่างไรก็ดีต้องพิจารณาด้วยว่า การที่เศรษฐกิจไตรมาส 4 ปีที่แล้วชะลอลงค่อนข้างมากนั้น มาจากสาเหตุใด และจะแก้ไขจุดนั้นอย่างไร

“การที่จีดีพีไตรมาส 4 ตกลงเยอะ มาจาก 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ การเบิกจ่ายภาครัฐ กับการผลิตภาคอุตสาหกรรม ส่วนตัวอื่น ๆ ไม่มีปัญหา การบริโภคยังบวก แต่การเบิกจ่ายที่ช้า ทำให้ภาคธุรกิจก่อสร้างติดลบไป 8.8% ซึ่งถ้าเบิกจ่ายได้ก็น่าจะดีขึ้น แต่ก็ต้องรองบประมาณถึงเดือน พ.ค. ส่วนการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่หายไปมาจาก 2 เรื่อง คือ การส่งออกที่ติดลบ ทำให้การผลิตแย่ไปด้วย กับเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยกลุ่มที่ดึงให้การผลิตแย่ก็คือ ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ที่หายไปครึ่งหนึ่ง”

ทั้งนี้ คงต้องพิจารณาว่าหากลดดอกเบี้ย อาจช่วยกระตุ้นเรื่องการใช้จ่าย แต่จะช่วยแก้ปัญหาการเบิกจ่ายภาครัฐ กับการผลิตภาคอุตสาหกรรมได้ด้วยหรือไม่ ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงช่วยได้ในแง่ภาระที่จะลดลง แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องแก้จุดที่เป็นปัญหาด้วย

“ลดดอกเบี้ย” ไม่ใช่เครื่องมือหลัก

“ถามว่า มีช่องที่จะลดดอกเบี้ยหรือไม่ ผมก็เชื่อว่า มี เพราะเศรษฐกิจแผ่ว เงินเฟ้อก็น้อย แต่ว่าดอกเบี้ยคงไม่ใช่เครื่องมือหลัก เพราะไม่สามารถฉุดเรื่องการเบิกจ่าย หรือการผลิตภาคอุตสาหกรรมขึ้นมาได้ เนื่องจากพวกนี้เป็นประเด็นเรื่องความสามารถในการแข่งขัน เรื่องความล่าช้าของงบประมาณมากกว่า ซึ่งตอนนี้รัฐบาลก็บอกว่า แขนของรัฐบาลโดนผูกหมดแล้ว งบประมาณไม่มี ดิจิทัลวอลเลตก็ออกไม่ได้ ก็เหลือแต่นโยบายการเงิน” ดร.พิพัฒน์กล่าว

หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ KKP กล่าวด้วยว่า KKP ได้ปรับคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ใหม่ โดยคาดว่าปีนี้จะเห็น คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้ง จากเดิมที่คาดว่าจะเห็นครั้งเดียว อย่างไรก็ดี จากสัญญาณของ กนง.รอบที่ผ่านมา ทำให้คาดว่าการเริ่มลดดอกเบี้ยน่าจะเป็นเดือน 
มิ.ย. ไม่น่าจะเป็นรอบเดือน เม.ย.