โลตัส ออกหุ้นกู้ 4 รุ่น ขายประชาชนทั่วไป ชูอันดับความน่าเชื่อถือ A+

โลตัส ออกหุ้นกู้ 4 รุ่น

โลตัส เตรียมออกหุ้นกู้ 4 ชุด เสนอขายประชาชนทั่วไปช่วงเดือน เม.ย. 2567 ชูอันดับความน่าเชื่อถือ A+ แนวโน้ม “บวก” สะท้อนความแข็งแกร่งธุรกิจค้าปลีก

วันที่ 6 มีนาคม 2567 รายงานจากบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด หรือ Lotus’s เปิดเผยว่า บริษัท ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ จำนวน 4 ชุด ประกอบด้วย ชุดที่ 1 อายุ 1 ปี 5 เดือน 25 วัน, ชุดที่ 2 อายุ 3 ปี 5 เดือน 25 วัน, ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 5 เดือน 25 วัน และชุดที่ 4 อายุ 7 ปี 5 เดือน 25 วัน โดยจะประกาศอัตราดอกเบี้ยในภายหลัง

ทั้งนี้ จะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนประชาชนทั่วไป ผ่านสถาบันการเงินที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 6 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จํากัด (มหาชน) รวมถึงการเสนอขายผ่านแอปพลิเคชั่น TrueMoney Wallet โดยคาดว่าจะเสนอขายในเดือนเมษายน 2567

หุ้นกู้ทั้ง 4 ชุดดังกล่าวได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ณ วันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ระดับ “A+” เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กรของบริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “บวก” (Positive) สะท้อนสถานะความเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกแบบ omni-channel ที่มีช่องทางจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมและหลายหลาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์

นายสมพงษ์ รุ่งนิรัติศัย ประธานคณะผู้บริหาร ธุรกิจโลตัส ประเทศไทย เปิดเผยว่า การออกและเสนอขายหุ้นกู้ของบริษัทในครั้งนี้ คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเหมือนกับครั้งที่ผ่านมา เนื่องจากเป็นโอกาสที่ดีของผู้ลงทุนที่จะได้ลงทุนในหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มีโอกาสเติบโตอย่างมีศักยภาพในอุตสาหกรรมค้าปลีก และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในอนาคต

โดยผลประกอบการในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวม 186,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวม 183,792 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% สะท้อนสัญญาณในทิศทางบวกจากการฟื้นตัวกลับมาของธุรกิจ ซึ่งเป็นผลจากการที่ประชาชนมีความต้องการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มมากขึ้น