ดอลลาร์แข็งค่าหลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้

dollar

ดอลลาร์แข็งค่าหลังเฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งในปีนี้

วันที่ 14 มิถุนายน 2567 ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 10-14 มิถุนายน 2567 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (10/6) ที่ระดับ 36.89/90 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7/6) ที่ระดับ 36.50/51 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ ภายหลังกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 272,000 ตำแหน่ง ในเดือน พ.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 182,000 ตำแหน่ง

โดยภาคเอกชนมีการจ้างงาน 229,000 ตำแหน่ง ขณะที่ภาครัฐมีการจ้างงาน 43,000 ตำแหน่ง ขณะที่มีการปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือน เม.ย.เป็นเพิ่มขึ้น 165,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.0% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2565 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.9%

สำหรับตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน ปรับตัวขึ้น 4.1% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 3.9% โดยตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานสหรัฐยังคงแข็งแกร่ง และเป็นปัจจัยหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สามารถยืดเวลาในการคงอัตราดอกเบี้ยได้ยาวนานขึ้น

อย่างไรก็ดีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงในคืนวันพุธ (12/6) หลังจากที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค ประจำเดือน พ.ค. โดยดัชนี CPI ทั่วไป (Headline CPI) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.3% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 3.4% จากระดับ 3.4% ในเดือน เม.ย. และปรับตัวขึ้น 0.0% เมื่อเทียบรายเดือน หรือไม่เปลี่ยนแปลงในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าที่คาดว่าปรับตัวขึ้น 0.1% จากระดับ 0.3% ในเดือน เม.ย.

ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 3.5% จากระดับ 3.6% ในเดือน เม.ย. และปรับตัวขึ้น 0.2% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายเดือน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.3% ในเดือน เม.ย. ก่อนที่ดอลลาร์สหรัฐ จะฟื้นตัวขึ้นในเวลาต่อมา หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 5.25-5.50% ในการประชุมตามคาด

ADVERTISMENT

ขณะที่การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% เพียง 1 ครั้งในปี 2567 จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในการประชุมเดือน มี.ค. นอกจากนี้ในปี 2568 เฟดส่งสัญญาณว่าอาจมีการลดอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้ง ครั้งละ 0.25% รวม 1% และดอกเบี้ยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.1%

นอกจากนี้เฟดได้คงตัวเลขการคาดการณ์ GDP สหรัฐ อยู่ที่ 2.1% ในปี 2567 และอยู่ที่ 2.0% ในปี 2568 และ 2569 ตามที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงเดือน มี.ค. ในส่วนของอัตราการว่างงานคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.0%, 4.2%, 4.1% ในปี 2567, 2568 และ 2569

ADVERTISMENT

ขณะที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดได้กล่าวในระหว่างการแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่า แม้เงินเฟ้อชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่สูงเกินไป และการคาดการณ์ปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากแนวโน้มที่เงินเฟ้อจะปรับตัวลงสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% นั้น มีความล่าช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ดี แม้เฟดจะปรับ Dot Plot แต่นักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ ในเดือน ก.ย. และเดือน ธ.ค. เนื่องจากมองว่าตัวเลขเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลงอาจทำให้มุมมองของเฟดเปลี่ยนแปลงไปไม่ช้านี้ โดย FedWatch Tool ของ CME Group

ล่าสุดบ่งชี้ว่า นักลงทุนให้ 59.0% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 5.00-5.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 49.5% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา และให้น้ำหนัก 44.40% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% สู่ระดับ 4.75-5.00% ในการประชุมเดือน ธ.ค. หลังจากที่ให้น้ำหนัก 35.3% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลหลัก

นอกจากนี้สหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้ผลิต เพิ่มขึ้น 2.2% ในเดือน พ.ค.เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.5% หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.3% ในเดือน เม.ย. อีกทั้งสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 13,000 ราย สู่ระดับ 242,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 10 เดือน หรือนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2566 และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 225,000 ราย

ทั้งนี้ นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนในวันนี้ (14/6) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐ

สำหรับปัจจัยภายในประเทศ เมื่อวันพุธ (12/6) คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงมติประชุมนโยบายการเงิน 6 ต่อ 1 เสียง ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% ต่อปี พร้อมทั้งคงอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ไทยในปี 2567 ไว้ที่ 2.6% และปี 2568 ที่ระดับ 3.0% ตามเดิม โดยแรงหนุนหลักมาจากแนวโน้มการขยายตัวจากอุปสงค์ในประเทศและภาคการท่องเที่ยว รวมถึงการเบิกจ่ายภาครัฐที่กลับมาเร่งขึ้นในไตรมาสที่ 2

ขณะที่การส่งออกขยายตัวต่ำ ส่วนทางด้านอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับขึ้น และจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยในระหว่างวัน อีกทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับการรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจและการเงิน และเพื่อรักษาขีดความสามารถของนโยบายการเงินในการรองรับความไม่แน่นอนในระยะข้างหน้า

ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาความเคลื่อนไหวทางการเมืองในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 36.36-36.95 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 36.76/78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับความเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดวันจันทร์ (10/6) ที่ระดับ 1.0774/75 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7/6) ที่ระดับ 1.0890/91 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ฝรั่งเศสกำลังเผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง โดยนายเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ประกาศยุบสภาเมื่อวันอาทิตย์ (9/6) พร้อมเดินหน้าเลือกตั้งใหม่ หลังจากพรรคพันธมิตรสายกลางของเขาพ่ายแพ้ให้กับพรรคเนชั่นแนล แรลลี (National Rally) ฝ่ายขวาจัดในการเลือกตั้งรัฐสภายุโรป

อย่างไรก็ดี ค่าเงินยูโรปรับตัวแข็งค่าขึ้นในช่วงกลางสัปดาห์ จากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยว่า ยอดส่งออกของเยอรมนีปรับตัวขึ้น 1.6% ในเดือน เม.ย. 2567 เมื่อเทียบเป็นรายเดือน ซึ่งเป็นการเติบโตเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกันและสูงกว่าคาดการณ์ว่าจะปรับตัวขึ้น 1.1% ต่อมาสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปเปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของยูโรโซน ขยายตัวขึ้น 0.3% ในไตรมาส 1/2567 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเมื่อเทียบรายไตรมาสด้วยเช่นกัน ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจยุโรปรอดพ้นจากการเข้าสู่สภาวะถดถอย แม้ว่าจะยังคงฟื้นตัวได้ช้าก็ตาม

อย่างไรก็ดีในวันพุธ (12/6) สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนี มีการเปิดเผยตัวเลขดัชนี CPI ของเยอรมนีเดือน พ.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.1% ซึ่งปรับตัวลดลงจากเดือน เม.ย.ที่ระดับ 0.5% แต่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกันกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ อีกทั้งยูโรสแตทเผยการผลิตภาคอุสาหกรรมของยูโรโซนอยู่ที่ -0.1% ใน เม.ย.เทียบกับ +0.6% ใน มี.ค.

ทั้งนี้ตลาดยังคงจับตารอดูท่าทีในการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB ต่อไป เนื่องจากทาง ECB ได้กล่าวว่า จะไม่มีการลดอัตราดอกเบี้ยอีกในปีนี้ หลังจากได้มีการลดดอกเบี้ยไป 0.25% ในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 6 มิ.ย.ที่่ผ่านมา ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.0707-1.0852 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 1.0710/13 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (10/6) ที่ระดับ 156.90/91 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (7/6) ที่ระดับ 155.48/49 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของดอลลาร์ อย่างไรก็ดี สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นปรับเพิ่มการประเมินตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2567 โดยปรับเป็นหดตัว 1.8% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งดีกว่าการประเมินเบื้องต้นว่าหดตัว 2%

อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยนปรับตัวแข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ ในวันพุธ (12/6) จากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าคาดของสหรัฐ อีกทั้งธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาสินค้าผู้ประกอบการ (CGPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อจากภาคค้าส่งของบริษัทญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้่น 2.4% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.0% และสูงกว่าเดือน เม.ย. ที่ระดับ 1.1% ซึ่งนับเป็นการปรับเพิ่มขึ้นรายปีที่สูงที่สุดในรอบ 9 เดือน

อย่างไรก็ดี ค่าเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐ โดยแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 6 สัปดาห์ หลังจากธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในกรอบ 0-0.1% ในวันศุกร์ (14/6) โดยบีโอเจระบุว่า จะยังคงซื้อพันธบัตรรัฐบาลในอัตราปัจจุบันต่อไป แต่บีโอเจตัดสินใจที่จะจัดทำแผนการที่เฉพาะเจาะจงเพื่อลดปริมาณการซื้อสำหรับช่วง 1-2 ปีข้างหน้าในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนหน้า ซึ่งกดดันสกุลเงินอื่น ๆ ในภูมิภาค และตราสารหนี้ด้วย

ทั้งนี้ ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 155.71-158.25 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (14/6) ที่ระดับ 158.00-02 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ