ธปท.จับตาบริษัทขนาดใหญ่ก่อหนี้สูง ห่วงเทรดวอร์ฉุดความสามารถชำระหนี้          

ธปท.

ธปท.เปิดรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทยปี 67 ชี้ ภาวะการเงินตึงตัวมากขึ้น เหตุความต้องการสินเชื่อลดลง-แบงก์เข้มสินเชื่อ-ชำระหนี้คืน จับตา บริษัทขนาดใหญ่ก่อหนี้สูงต่อเนื่อง สะสมความเปราะบาง หวั่นเศรษฐกิจชะลอตัว-นโยบายการค้า ห่วงกระทบความสามารถในการชำระหนี้ ฉุดเสถียรภาพระบบการเงิน พบมียอดคงค้างการกู้ยืมรวมทั้งสิ้น 6.1 ล้านล้านบาท ด้านภาคอสังหาริมทรัพย์ มีความเสี่ยงเพิ่มเติมหลังเจอแผ่นดินไหว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เผยรายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย 2567 ระบุในส่วนของภาวะการเงิน โดยภาวะการเงินที่อาจตึงตัวมากขึ้น และส่งผลต่อสภาพคล่องของธุรกิจและครัวเรือน รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป โดยในปี 2567 ภาวะการเงินมีความตึงตัวขึ้น สะท้อนจากสินเชื่อที่ขยายตัวในระดับต่ำ และการระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชนที่หดตัว โดยมีสาเหตุทั้งจากความต้องการสินเชื่อที่ลดลง การชำระคืนหนี้ และความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้กู้ยืมบางกลุ่มที่สูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการให้สินเชื่อแก่ผู้กู้กลุ่มนี้

โดยการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา (สหรัฐฯ) จะเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อการลงทุน การค้าและการแข่งขันกับสินค้าจีนที่เข้ามาในไทยมากขึ้น (import Rooding) โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ ในสัดส่วนที่สูงและหาตลาดทดแทนได้ยาก รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (small and medium enterprises: SMEs) ที่มีปัญหาด้านการเข้าถึงสินเชื่อและความสามารถในการแข่งขันอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการจ้างงานของธุรกิจเหล่านี้และรายได้ครัวเรือน ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนลดลง

ขณะที่ สถาบันการเงินและนักลงทุนมีความระมัดระวังในการให้กู้แก่ผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น อีกทั้งสภาพคล่องที่ลดลงของธุรกิจและครัวเรือนจะเป็นปัจจัยกดดันกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มเติมในระยะข้างหน้าได้

ขณะเดียวกัน บริษัทขนาดใหญ่บางรายมีการก่อหนี้ในระดับสูง (highly leveraged large corporations: HLLCS) และเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นๆ แม้บริษัทขนาดใหญ่โดยรวมจะมีฐานะการเงินดี ซึ่งระดับหนี้ที่สูงโดยเปรียบเทียบของ HLLCs เกิดจากสถาบันการเงินและนักลงทุนมีความเชื่อมั่นต่อความสามสามารถในการชำระหนี้ของ HLLCS ที่ส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานดี จึงยังไม่ส่งผลต่อเสถียรภาพในระยะสั้น

อย่างไรก็ตามระดับหนี้ที่สูงขึ้นต่อเนื่องเป็นการสะสมความเปราะบาง ทำให้ความสามารถในการรองรับความเสี่ยง (negative shocks) ของบริษัทลดลง โดยเฉพาะ HLLCs ที่มีระดับหนี้สูง มีรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ที่ค่อนข้างอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างมากจากนโยบายการค้าของประเทศต่างๆ อาจส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินและการชำระหนี้ของ HLLCs บางรายแก่เจ้าหนี้ที่มีทั้งสถาบันการเงินและผู้ลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชนที่มีทั้งนักลงทุนสถาบันและบุคคลธรรมดา

ADVERTISMENT

และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้ฝากเงิน รวมถึงอาจส่งผลต่อเสถียรภาพระบบการเงินได้หากความเชื่อมั่นลดลงเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะกรณีที่บริษัทมีความเชื่อมโยงกับระบบเศรษฐกิจและการเงินสูง

โดย ณ สิ้นปี 2567 HLLCs มียอดคงค้างการกู้ยืมรวมทั้งสิ้น 6.1 ล้านล้านบาท ประกอบด้วยสินเชื่อจากสถาบันการเงินจำนวน 2.9 ล้านล้านล้านบาท คิดเป็น 22% ของยอดคงค้างสินเชื่อธุรกิจทั้งหมด และตราสารหนี้ภาคเอกชน 3.2 ล้านล้านล้านบาท คิดเป็น 62% ของยอดคงค้างตลาดตราสารหนี้ภาคเอกชน

สำหรับฐานะการเงินของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (developer) บางรายที่ได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวล่าสุด หลังจากที่ภาคอสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวต่อเนื่องและฟื้นตัวช้า โดยในปี 2567 ภาคอสังหาริมทรัพย์ประสบกับอุปสงค์ที่ลดลงตามกำลังซื้อของประชาชนที่อ่อนแอ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะผู้กู้ที่มีฐานะการเงินเปราะบาง สะท้อนจากอุปทานคงค้างที่กระจุกตัวอยู่ในกลุ่มที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท

อีกทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและอุปสงค์ของอาคารชุดในระยะสั้น ทำให้ developer บางรายที่เน้นพัฒนาอาคารชุดเป็นหลักอาจเผชิญกับความเสี่ยงด้านชื่อเสียง (reputation risk) และการระบายอุปทานคงค้างของอาคารชุดที่อาจทำได้ยากขึ้น หากอาคารได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์ดังกล่าว ซึ่งในที่สุดจะกระทบต่อการดำเนินธรกิจในระยะยาวได้

โดย developer บางรายที่มีฐานะการเงินอ่อนแออยู่แล้วในช่วงก่อนหน้า อาจมีความสามารถในการชำระหนี้ลดลง และกระทบต่อความเชื่อมั่นในตลาดการเงินที่เปราะบางอยู่แล้ว ทำให้ความเสี่ยงในระบบการเงินปรับเพิ่มขึ้นได้