ธนาคารยูโอบี เผยผลสำรวจ “ASEAN SME Transformation Study 2020” ชี้ธุรกิจเอสเอ็มอีในภูมิภาคอาเซียนต่างหันมาพึ่งพาเทคโนโลยีเพื่อช่วยในการดำเนินธุรกิจช่วงสถานการณ์โควิด-19 กว่า 2 ใน 3 ของเอสเอ็มอี หรือประมาณ 64% ให้ความสำคัญกับการลงทุนด้านเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก ประมาณ 71% ขณะที่เอสเอ็มอี 88% รับรายได้ปี 63 หายกว่า 50%
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- แห่ขายที่ดินพ่วงโรงงาน เอกชนถอดใจ-สินค้าจีนตีตลาด
ธนาคารยูโอบี (UOB) ร่วมกับแอคเซนเจอร์ (Accenture) และดันแอนด์แบรดสตรีท (Dun & Bradstreet) ทำการสำรวจความคิดเห็นของธุรกิจเอสเอ็มอีในอาเซียนกว่า 1,000 ราย[1] เพื่อทำความเข้าใจว่าธุรกิจเอสเอ็มอีปรับตัวอย่างไรต่อสภาพการณ์ทางธุรกิจที่เปลี่ยนไปภายใต้สถานการณ์โควิด-19
เอสเอ็มอีในประเทศไทยมองว่าต้องการลงทุนในเทคโนโลยีเป็นอันดับแรก ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 71% รองลงมาคืออินโดนีเซีย 65% เวียดนาม 63% สิงคโปร์ 60% และมาเลเซีย 59%
การสำรวจยังพบว่าธุรกิจเอสเอ็มอียังพยายามที่จะลงทุนในด้านเทคโนโลยี แม้ว่ารายได้จากธุรกิจจะลดลงก็ตาม ซึ่ง 9 ใน 10 หรือ 88% คาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2563 จะลดลงเกือบครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังวางแผนเพิ่มงบประมาณด้านเทคโนโลยี ซึ่งนั่นหมายความว่าเอสเอ็มอีกำลังมองข้ามความท้าทายในปัจจุบัน และพร้อมจะปรับใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน
ลอเรนซ์ โล ผู้อำนวยการกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า “ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมที่เกิดจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 นั้น ทำให้ธุรกิจเล็งเห็นความสำคัญของเทคโนโลยีมากขึ้น การดำเนินธุรกิจที่ต้องหยุดชะงักตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้หลายบริษัทตระหนักอย่างรวดเร็วว่าเทคโนโลยีจะเข้ามาช่วยให้ ธุรกิจสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในระยะยาว ไม่ว่าจะใช้เทคโนโลยีในการช่วยปรับโมเดลธุรกิจหรือเปลี่ยนกระบวนการปฏิบัติงาน
หากมองในภาคธุรกิจแล้ว ธุรกิจเอสเอ็มอีที่ต้องการลงทุนในด้านเทคโนโลยีมากที่สุด คือธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม เทคโนโลยีสารสนเทศ และสุขภาพ 50% ธุรกิจก่อสร้าง 48% และธุรกิจค้าปลีก 46% ตามลำดับ
นายโล กล่าวเพิ่มเติมว่า ยูโอบีได้ทำการติดต่อลูกค้าอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยเหลือในช่วงภาวะวิกฤตเช่นนี้ นอกจากการสนับสนุนด้านเงินทุนแล้ว เรายังช่วยเอสเอ็มอีในเรื่องการปรับใช้ดิจิทัลโซลูชันเพื่อช่วยลูกค้าจัดการธุรกิจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกตัวอย่าง ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในสิงคโปร์ที่ได้รับผลกระทบมาก เราได้ช่วยให้ลูกค้าปรับเปลี่ยนช่องทางการขายจากหน้าร้านมาเป็นสู่ออนไลน์มากขึ้น เพื่อตอบสนองกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เราร่วมมือกับกูเกิ้ล เพื่อช่วยให้ธุรกิจใช้เครื่องมือดิจิทัล อย่างเช่น Google My Business และสร้างโพรไฟล์ร้านค้าออนไลน์เพื่อเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น เป็นต้น
นอกจากเทคโนโลยีแล้ว 51% ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอาเซียนต้องการลงทุนเพื่อพัฒนาทักษะพนักงาน และ 40% ต้องการลงทุนในการซื้อเครื่องจักรและอุปกรณ์ ในขณะที่การลงทุนที่ธุรกิจเอสเอ็มอีให้ความสำคัญน้อยที่สุดคือการจัดซื้อยานพาหนะ อยู่ที่ 18% เทคโนโลยีช่วยเอสเอ็มอีบริหารกระแสเงินสดและค่าใช้จ่ายทางธุรกิจ 8 ใน 10 หรือ 81% ของเอสเอ็มอีทั่วทั้งอาเซียนเลือกใช้ดิจิทัลโซลูชันเพื่อบริหารจัดการงินสด เช่น UOB BizSmart ที่ช่วยออกใบแจ้งหนี้อิเลคทรอนิคส์และบันทึกรายการกระทบยอดได้รวดเร็ว
ดิฟเยช วิธลานี หัวหน้าฝ่ายธุรกิจบริการทางการเงิน แอคเซนเจอร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ขณะที่ธุรกิจรายย่อยกำลังเตรียมเปิดดำเนินงาน และนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้จะช่วยให้ธุรกิจฟื้นตัวได้เร็ว การลงทุนในเรื่องเทคโนโลยีของเอสเอ็มอีนี้สำคัญมาก เพราะเอสเอ็มอีคือรากฐานทางเศรษฐกิจของทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ถ้าหากเอสเอ็มอีฟื้นตัวได้เร็วหลังวิกฤตก็จะส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศในอาเซียนฟื้นตัวเร็วตามไปด้วย
ทั้งนี้ 75% ของเอสเอ็มอีในอาเซียนเลือกที่จะพักชำระหนี้เพื่อช่วยลดภาระเรื่องกระแสเงินสด และต่อรองระยะเวลาชำระเงินกับคู่ค้าหรือผู้ให้เช่า และ 73% ต้องการเพิ่มทุนผ่านโปรแกรมความช่วยเหลือด้านการเงินในช่วงโควิด-19
ออเดร เฉี่ย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดันแอนด์แบรดสตรีท สิงคโปร์ กล่าวว่า “ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์โรคระบาดในครั้งนี้ แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวของภูมิภาคอาเซียนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อพิจารณาจากปัจจัยด้านประชากรและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ธุรกิจรายย่อยกำลังต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนัก เราเห็นว่าผู้ประกอบการได้ทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจยังยืนอยู่ได้ ธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนโมเดลได้ทันท่วงทีจะทำให้ฝ่าฟันวิกฤตไปได้และยังเพิ่มโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ อีกด้วย”