นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ ประธานคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จะเรียกประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ หลังจากฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการฯ ซึ่งก็คือ ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครทั้ง 6 รายเสร็จเรียบร้อยก่อน โดยหากเสร็จทันวันที่ 17 ก.ค.นี้ ก็จะประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ ทันที แต่หากยังตรวจไม่เสร็จก็เลื่อนออกไปเป็นสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ ยืนยันว่า ไม่ได้สั่งการให้ตรวจสอบเฉพาะราย แต่เป็นไปตามขั้นตอนที่ต้องตรวจสอบผู้สมัครทุกคนอยู่แล้ว
นอกจากนี้ ตนยังให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของกรรมการทุกรายในคณะกรรมการคัดเลือกฯ ด้วยว่า มีรายใดขาดคุณสมบัติหรือไม่ จะได้ไม่เกิดปัญหาร้องเรียนกันตามมาภายหลัง
- อย. เตือนอย่าซื้อผลิตภัณฑ์ CDS มาทาน อันตรายถึงชีวิต
- ประกาศแล้ว! พระราชกฤษฎีกาเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำนาญ รับ 11,000 บาทต่อเดือน
- สหรัฐปรับ เอสซีจี พลาสติกส์ ละเมิดคว่ำบาตรอิหร่าน เรื่องเป็นอย่างไร บริษัทไหนเกี่ยวบ้าง ?
“วันนี้ (13 ก.ค.) ฝ่ายเลขานุการ เปิดซองผู้สมัครแล้ว หลังจากนี้ต้องตรวจคุณสมบัติทุกราย ไม่ใช่เฉพาะคนใดคนหนึ่ง ซึ่งก็คงหารือกับทาง ธปท.ด้วย โดยหากเสร็จทันก็จะเรียกประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ วันที่ 17 ก.ค.นี้เลย แต่ถ้าไม่ทันก็เลื่อนไปสัปดาห์หน้า” นายรังสรรค์กล่าว
ทั้งนี้ คุณสมบัติที่คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ประกาศไว้ตอนรับสมัคร ได้แก่ คุณสมบัติทั่วไป ต้องมีสัญชาติไทย, มีอายุไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ในวันที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเสนอชื่อเพื่อทรงแต่งตั้ง, มีความรู้ความสามารถ และความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์หรือด้านการเงินการธนาคาร รวมทั้งมีความรู้ความเชี่ยวชาญหรือประสบการณ์ด้านอื่นอันจะเป็นประโยชน์ต่อการทำหน้าที่ผู้ว่าการ ธปท., สามารถทำงานให้แก่ ธปท. ได้เต็มเวลา, สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาตรีจากสถาบันการศึกษาที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) รับรอง และไม่มีลักษณะต้องห้ามตามประกาศคณะกรรมการคัดเลือกฯ
ส่วนคุณสมบัติเฉพาะของผู้สมัคร ต้องมีความรู้ความเข้าใจด้านเศรษฐกิจมหภาคของประเทศ และภาวะเศรษฐกิจการเงนิของโลกเป็นอย่างดี, มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนโยบายการเงิน นโยบายการกำกับดูแลสถาบันการเงิน และนโยบายเกี่ยวกับระบบการชำระเงินเป็นอย่างดี, มีความเชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ในการบริหารจัดการองค์กรตามกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังนี้
1.ในกรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารส่วนราชการต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่ารองอธิบดีหรือเทียบเท่า
2.ในกรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารองค์กรเอกชนต้องเป็นองค์กรที่มีขนาดของสินทรัพย์ไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท โดยต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งระดับถัดจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กรนั้นในช่วงที่ดำรงตำแหน่ง
3.ในกรณีที่เป็นหรือเคยเป็นผู้บริหารรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐหรือองค์กรระหว่างประเทศต้องดำรงตำแหน่งไม่ต่ำกว่าหนึ่งระดับถัดจากผู้บริหารสูงสุดขององค์กร