อานิสงส์โควิด! ดันอุตฯประกันวินาศภัยปี’63 เบี้ยทะยาน 2.52 แสนล้าน โต 3.5%

“สมาคมประกันวินาศภัยไทย” เผยผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยปี 63 คาดสิ้นปีเบี้ยรวมเติบโต 2.5-3.5% แตะ 2.50-2.52 แสนล้านบาท อานิสงส์โควิด-19 ดันยอดขายประกันโควิดและประกันสุขภาพโต 60% ธุรกรรมผ่านออนไลน์พุ่ง 249% ส่วนเป้าปี 64 คาดการณ์เบี้ยรวมโต 0-5% 

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยว่า ในปี 2563 ถือว่าเป็นปีที่ธุรกิจประกันวินาศภัยต้องฝ่าฟันกับภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยจากปัจจัยต่างๆ ทั้งผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 และความไม่แน่นอนทางการเมือง แต่ช่วงเบี้ยรวม 9 เดือน(มกราคม-กันยายน 2563) ยังคงมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 184,368 ล้านบาท เติบโต 3.9% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน โดยการประกันภัยแต่ละประเภทยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ในขณะที่การประกันภัยการเดินทางหดตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบทางลบจากการระบาด COVID-19

อย่างไรก็ตามสิ้นปีนี้คาดการณ์ว่าเบี้ยประกันของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งระบบจะอยู่ที่ 250,000-252,600 ล้านบาท เติบโต 2.5-3.5% ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่จะทำให้มีเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย เกิดการใช้จ่าย การผลิต การจ้างงานและสร้างรายได้ให้กับประชาชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลให้มีการขยายตัวของการนำเข้าและส่งออก รวมทั้งกำลังซื้อรถยนต์บางส่วนในช่วงปลายปีจากโปรโมชั่นในงานมหกรรมยานยนต์

นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย

ทั้งนี้ช่วง 9 เดือนแรกอัตราการเติบโตเป็นผลมาจากการเติบโตของการประกันภัยรถยนต์ 0.2% การประกันอัคคีภัย 0.5% การประกันภัยทางทะเลและขนส่ง 2.3% การประกันภัยเบ็ดเตล็ด 11.3% โดยปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเติบโตของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศที่มียอดขายติดลบน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ การปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจเพื่อให้สอดคล้องกับการปรับเพิ่มความคุ้มครองของสำนักงาน คปภ.

การอุปโภคและการลงทุนของภาครัฐที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น การส่งเสริมการประกันภัยของภาครัฐในการนำระบบประกันภัยมาใช้เป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในโครงการประกันภัยพืชผล (โครงการประกันภัยข้าวนาปีและโครงการประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์) ผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อธุรกิจประกันวินาศภัย

โดยผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ในปีนี้เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การประกันภัยสุขภาพเติบโตเพิ่มขึ้น 60% ในขณะที่การประกันภัยการเดินทางเติบโตติดลบ 61.4% ทั้งนี้จากข้อมูล 10 เดือนแรก(มกราคม-ตุลาคม 2563) พบว่า ยอดขายประกันภัยโควิดมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 4,102.5 ล้านบาท หรือเท่ากับ 1.6% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมของการประกันภัยทุกประเภท และมีจำนวนกรมธรรม์รวมทั้งสิ้น 7.5 ล้านกรมธรรม์

ส่วนโครงการประกันภัยพืชผลนั้น มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 4,084.32 ล้านบาท คิดเป็น 1.6% ของเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวมของการประกันภัยทุกประเภท แบ่งเป็นเบี้ยประกันภัยข้าวนาปีรับรวม 3,758.64 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รับรวม 325.68 ล้านบาท

ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประกันวินาศภัยโดยรวม พบว่าช่องทางขายผ่านนายหน้า (Broker) ยังคงเป็นช่องทางที่ทำรายได้ให้กับธุรกิจประกันวินาศภัยมากที่สุด โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงจากช่องทางนี้สูงถึง 109,097 ล้านบาท สัดส่วน 58% รองลงมาคือ ช่องทางขายผ่านตัวแทน (Agent) 25,711 ล้านบาท สัดส่วน 14% ช่องทางขายผ่านธนาคาร (Bancassurance) 22,230 ล้านบาท

สัดส่วน 12% ที่เหลือเป็นการขายผ่านช่องทางอื่น ๆ ซึ่งยังไม่ได้เป็นช่องทางการขายที่เติบโตมากนัก ยกเว้นช่องทางการขายผ่านอินเทอร์เน็ต ซึ่งแม้จะมีส่วนแบ่งในการสร้างเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงไม่มากนักเมื่อเทียบกับช่องทางการขายอื่น แต่กลับพบว่ามีการเติบโตเพิ่มขึ้นมากอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรง 794 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 249% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ประเภทการประกันภัยรถยนต์และการประกันภัยสุขภาพสามารถขายผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้นได้เป็นจำนวนมาก

สำหรับภาพรวมอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ของประกันวินาศภัยทุกประเภทอยู่ที่ 54.3% โดยการประกันภัยรถยนต์ยังคงเป็นการประกันภัยที่มีอัตราความเสียหายสูงกว่าการประกันภัยประเภทอื่น โดยมีอัตราความเสียหาย 61.5% อย่างไรก็ตามอัตราความเสียหายของการประกันภัยรถยนต์ลดลงกว่า 40% ช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากได้รับผลกระทบทางบวกจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) และเคอร์ฟิว (Curfew) เพื่อรับมือกับการระบาดของ COVID-19 ในช่วงต้นปีของรัฐบาล ส่งผลให้จำนวนรถยนต์ที่สัญจรบนท้องถนนลดลง โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้การเกิดอุบัติเหตุรถยนต์โดยรวมลดลง

สำหรับปี 2564 คาดการณ์ว่าธุรกิจประกันวินาศภัยจะเติบโต 0-5% เบี้ยประกันรวมอยู่ที่ 250,000-262,500 ล้านบาท เป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า ที่คาดว่าจะเติบโต 3.5-4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ การปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก

แรงขับเคลื่อนจากภาครัฐจากการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณและมาตรการทางเศรษฐกิจ และฐานการขยายตัวที่ต่ำผิดปกติในปี 2563 ซึ่งมาจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยลดลงแต่ปัจจุบันเริ่มฟื้นตัวขึ้นภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศ ภาคการส่งออกและภาคการผลิต การประมาณการยอดขายรถยนต์ใหม่ที่น่าจะเริ่มฟื้นตัวกลับมา ตลอดจนแนวโน้มที่ดีในเรื่องของความตื่นตัวในการป้องกัน COVID-19 ของประชาชน

รวมทั้งการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 ซึ่งจะส่งผลให้การเดินทางและท่องเที่ยวฟื้นตัว ในขณะเดียวกันประชาชนเริ่มมีความรู้และมีความคุ้นเคยกับการทำประกันภัยสุขภาพเพื่อบริหารความเสี่ยงจากโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ จึงคาดการณ์ว่าประกันภัยสุขภาพไม่รวมส่วนของการประกันภัย COVID-19 น่าจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น

ในขณะที่การประกันภัย COVID-19 อาจจะเติบโตลดลงหรือหดตัว ส่วนการประกันภัยการเดินทางจะมีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในปี 2563 อย่างไรก็ตามการเติบโตดังกล่าวจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ ด้าน อาทิ สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศและต่างประเทศ (มีการระบาดลดลง หรือมีการระบาดระลอกใหม่) ความสำเร็จในการพัฒนาวัคซีนป้องกันโรค COVID-19 และการเข้าถึงวัคซีน มาตรการการเปิดประเทศเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค.