คลังเปิดลงทะเบียน “คนละครึ่ง เฟส 3” เพิ่มอีก 16 ล้านสิทธิ์

คนละครึ่ง-เป๋าตัง1

คลังเปิดลงทะเบียน “คนละครึ่ง เฟส 3” เพิ่ม 16 ล้านสิทธิ์ เผยมาตรการทั้งหมดครอบคลุม 51 ล้านคน ใช้งบเงินกู้กว่า 2.25 แสนล้านบาท

นางสาวกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย 4 มาตรการ เริ่มเดือนกรกฎาคม – ธันวาคม 2564

ได้แก่ 1.โครงการ “คนละครึ่ง เฟส 3” โดยกลุ่มเป้าหมาย จำนวน 31 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ที่เคยได้สิทธิ์ ในโครงการคนละครึ่งเฟส 1 และ เฟส 2 แล้ว จำนวน 15 ล้านคน ซึ่งกลุ่มนี้ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ โดยกระทรวงการคลังจะเปิดให้ผู้ที่ยังไม่เคยได้รับสิทธิ์ ได้ลงทะเบียนเพิ่มอีก 16 ล้านสิทธิ์

สำหรับช่วงวัน เวลาที่จะเปิดให้ลงทะเบียนจะมีความชัดเจนเร็ว ๆ นี้ ส่วนรูปแบบการใช้จ่ายจะเป็นแบบ co-pay โดยรัฐบาลจะโอนเงินเข้าแอปฯ เป๋าตังให้วันละ 150 บาท ทุกวันจนครบ 3,000 บาท

2.โครงการ “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” กลุ่มเป้าหมายจำนวน 13.65 ล้านคน

3.โครงการ “เพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ” กลุ่มเป้าหมายจำนวน 2.5 ล้านคน โดยรัฐบาลจะโอนเงินเพิ่มให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ เดือนละ 200 บาท เป็นเวลา 6 เดือน

และ 4. โครงการ “ยิ่งใช้ ยิ่งได้” กลุ่มเป้าหมายจำนวน 4 ล้านคน เพื่อเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ โดยรัฐบาลสนับสนุน E-Voucher สูงสุด 7,000 บาทต่อคน

“4 มาตรการนี้จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยมาตรการเริ่มหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย เพื่อให้ทุกคนออกมาใช้จ่ายได้ คาดว่าจะเริ่มมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงสิ้นเดือนธันวาคม 2654 ซึ่งใน 4 มาตรการนี้ประชาชนจะเลือกได้เพียง 1 คนต่อ 1 โครงการเท่านั้น” นางสาวกุลยากล่าว และว่า

ในส่วนมาตรการเยียวยาเร่งด่วน ได้แก่ โครงการ “เราชนะ” กลุ่มเป้าหมาย 32.9 ล้านคน และโครงการ “ม.33 เรารักกัน” กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 9.29 ล้านคน ที่รัฐบาลจะเพิ่มวงเงินให้อีกคนละ 2,000 บาท ซึ่งกระทรวงการคลังจะเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมในที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนพฤษภาคมนี้ และใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2564

ทั้งนี้ มาตรการเยียวยาและกระตุ้นเศรษฐกิจจากผลกระทบของการระบาดไวรัสโควิด-19 ระลอกเดือนเมษายนนี้ ถือเป็นการช่วยเหลือได้ครอบคลุมประชากรมากที่สุดถึง 51 ล้านคน โดยใช้งบประมาณรวมกว่า 2.25 แสนล้านบาท ซึ่งยังอยู่ภายใต้ พ.ร.ก.กู้เงิน 1 ล้านล้านบาท