บล.เอเซีย พลัส คาดดัชนีหุ้นไทยปี 65 ทะลุ 1,800 จุด

บล.เอเซีย พลัส ประเมินตลาดหุ้นไทยำตรมาสแรกปี65 เดินหน้าต่อได้ คาด SET Index ปีนี้ยืนเหนือ 1,800  แนะลงทุนหุ้น กำไรเด่น-ปันผลสูง และทางเลือกการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตชิปต่างประเทศ

วันที่ 13 มกราคม 2565 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ในปี 2565 ตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางขาขึ้น ประเมินภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 1 ปี 2565 ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นต่อ ปัจจัยหนุนมาจาก

  1. มี Valuation ในเชิงเปรียบเทียบที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทยมี Forward Market Earning Yield Gap 2565F อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี Forward Market Earning Yield Gap 2565F จะลดลงเหลือ 3.7% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ภายใต้การปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง
  2.  สภาพคล่องในประเทศยังเป็นปัจจัยหนุน คาดอัตราดอกเบี้ยไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ไปตลอดปี และเงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำในระบบรวมกันล่าสุดอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นปัจจัยหนุน
  3. คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS Growth) ในปี 2565 อยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท หรืออยู่ที่ 81.8 บาทต่อหุ้น หรือ คาดเติบโต 11.2% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ คาดเติบโต 6% เป็นปัจจัยดึงดูด Fund Flow
  4. คาดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2565 อยู่ที่ 3.5% เติบโตเพิ่มขึ้น จาก 1% ในปี 2564

ทั้งนี้ ช่วงต้นปี 2565 ตลาดหุ้นไทยอาจมีแรงกดดันช่วงสั้นๆ จากแรงขายกองทุน LTF ของปี 2559 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทในเดือนแรกของปี 2564 จากเม็ดเงินซื้อสะสมตามมูลค่าตลาด 6.38 หมื่นล้านบาท โดยมีต้นทุนเชิงเปรียบเทียบอยู่ที่ 1,504 จุด แต่อีกฝั่งหนึ่งจะมีแรงพยุงจาก Fund Flow ต่างชาติที่เริ่มเห็น Momentum ไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในเดือน ธ.ค.2564 ราว 2.3 หมื่นล้านบาท และเริ่มเห็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องในเดือน ม.ค.2565 อีกประเด็นคือ กระแสการปรับลดวงเงิน QE และปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินหดหายไป

ส่วนปัจจัยที่ยังกดดันหลักๆ คือ ติดตามผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิดโอมิครอนหลังผู้ติดเชื้อในประเทศสูงขึ้น แต่เชื่อว่า Impact จะจำกัด เนื่องจากเชื่อว่าภาครัฐจะไม่กลับไป Lockdown แบบเข้มงวดเหมือนในปี 2563-2564 เนื่องจากสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต ทั้งอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ที่สูงราว 70% และท่าทีของรัฐบาลทั่วโลกที่ไม่จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจเข้มงวด แต่เลือกจะจำกัดในบางพื้นที่ โดยรวมเชื่อว่าจะไม่เปิด Downside ต่อคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 2565 และคาดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 2565 อย่างมีนัย

โดยให้กรอบเป้าหมายดัชนีเป้าหมายปี 2565 ที่ 1,810-1,860 จุด ภายใต้ระดับค่าเฉลี่ยของ Market Earning Yield Gap ที่ 3.9%, Bond Yield อายุ 1 ปี อยู่ในช่วง 0.5%-0.62% โดยอิงตามกรอบ Bond Yield 1 ปี
โดยประเมินเป็นโอกาสดีในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งเวลาที่ย่อตัวลงมา โดยกลยุทธ์เน้นจึงเน้นสะสมหุ้นพื้นฐานดี และที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในปีนี้ เช่น STEC, IVL, SMT รวมถึงหุ้นปันผลเด่นที่ซึ่งจะมีเกราะป้องกันจากอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ AP, TISCO (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) และ SCC, ADVANC (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง)

ด้านนายภาดร สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส มองว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อจะยังทรงตัวในระดับที่สูง แม้ว่าปัจจุบัน FED จะมีท่าทีที่เข้มงวดต่อการใช้มาตรการทางการเงินมากขึ้น ทั้งแนวโน้มการเร่งการลด QE และเร่งการขึ้นดอกเบี้ย และจะเป็นปัจจัยกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายทั้งธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐฯ ทำให้ในระยะข้างหน้าการใช้จ่ายของภาครัฐในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องชะลอตัวลง รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชนจะชะลอตัวลงตามจากสัดส่วนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้นักลงทุนต้องเจอกับความผันผวนในไตรมาสนี้

โดยกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2565 จึงมองไปที่การกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นในบางภูมิภาคที่ยังมี Valuation ที่ไม่ตึงตัวมาก และยังมีความน่าสนใจในการลงทุน เช่น ในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น รวมไปถึงตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นคาดว่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู รวมไปถึงเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก หรือ Thematic ในกลุ่มของ REITs ไทยและสิงคโปร์ ที่ราคายัง laggard REITs ของสหรัฐฯ และยุโรป

รวมถึงกลุ่ม Semiconductor ที่จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ทั้ง 5G และกระแส METAVERSE รวมถึงมาตรการสนับสนุนการใช้พลังงานและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของภาครัฐทั่วโลก ได้ส่งผลให้ความต้องการ Semiconductor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญในอุปกรณ์ไฟฟ้าแทบจะทุกชนิดเร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว”