ส่องตลาดแรงงานเด็กจบใหม่ยุคโควิด พบว่างงานเพิ่มเฉียดแสนราย

การว่างงานของเด็กจบใหม่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง และยังถูกซ้ำเติมด้วยการระบาดของ COVID-19  ส่งผลให้เด็กจบใหม่ในช่วงอายุ 15-24 ปี ว่างงานเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติเกือบแสนคน 

โดยสำนักเศรษฐกิจภูมิภาค ฝ่ายนโยบายโครงสร้างเศรษฐกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การว่างงานของเด็กจบใหม่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง และยังถูกซ้ำเติมด้วยการระบาดของ COVID-19  โดยตัวเลขการว่างงานของเด็กจบใหม่หรือการว่างงานของกลุ่มเยาวชน (Youth Unemployment) ในช่วงอายุ 15-24 ปี มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติเกือบแสนคน

ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของตลาดแรงงานเด็กรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มสำคัญที่จะเป็นแรงงานมีฝีมือในระยะข้างหน้า บทความนี้จะกล่าวถึงสาเหตุเชิงโครงสร้างของตลาดแรงงานเด็กจบใหม่ ผลกระทบของ COVID-19 ที่ซ้ำเติมปัญหานี้ ตลอดจนแนวทางในการรับมือกับปัญหาการว่างงานของต่างประเทศที่ไทยสามารถนำมาปรับใช้เพิ่มเติมได้ในระยะต่อไป

ทำไมการว่างงานในกลุ่มเด็กจบใหม่ของไทย อยู่ในระดับสูง ?

1) ตำแหน่งงานว่างไม่สอดคล้องกับทักษะ/วุฒิการศึกษา/ค่านิยมของเด็กจบใหม่

  • ความต้องการแรงงานส่วนใหญ่ในทุกภูมิภาคเป็นกลุ่มอาชีพพื้นฐาน อาทิ แรงงานทั่วไป แม่บ้าน (รูปที่ 1) และเน้นวุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี สะท้อนถึงปัญหา Qualification Mismatch ในตลาดแรงงาน ที่แรงงานมีระดับการศึกษาไม่ตรงกับระดับทักษะที่จำเป็นต่องานนั้น ๆ
  • บางบริษัทขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี อาทิ โปรแกรมเมอร์ Data Scientist ซึ่งค่อนข้างหายากในภูมิภาค โดยเป็นสาขาที่คนจบมาน้อย (รูปที่ 2)  สะท้อนถึงปัญหา Skill Mismatch ทั้งในปัจจุบัน และอีกอย่างน้อยใน 2-3 ปีข้างหน้า

เด็กจบใหม่บางส่วนจึงนิยมออกไปประกอบอาชีพอิสระมากขึ้น โดยเฉพาะในภาคการค้าและบริการ พบว่า เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 4.6 หมื่นคน ในปี 2562  เป็น 5.6 หมื่นคน ในปี 2564

2) ธุรกิจมีแนวโน้มปรับกระบวนการทำงาน โดยลดการพึ่งพาการใช้คน และลงทุนในเทคโนโลยี/ดิจิทัลมากขึ้น

  • บางบริษัทมีการปรับลดจำนวนพนักงาน โดยบางส่วนให้พนักงานทำหลายหน้าที่มากขึ้น (Multitask) และนำเทคโนโลยีมาทดแทนแรงงานในกระบวนการทำงานต่าง ๆ มากขึ้น
  • ตลาดแรงงานมีการแข่งขันเข้มข้นมากขึ้น ส่งผลให้เด็กจบใหม่มีโอกาสได้รับการเข้าทำงานยากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มคนที่เคยมีประสบการณ์ทำงาน

ตัวอย่างการปรับกระบวนการทำงาน

  • บางบริษัทมีการนำระบบ Automation มาทดแทนการใช้แรงงานบางส่วน เช่น ในอุตสาหกรรมการผลิต
  • มีการลงทุนในระบบ IT สำหรับงานด้านบริหาร / งาน admin / งานเอกสาร ซึ่งทำให้มีการลดแรงงานเป็นจำนวนมาก
  • มีความต้องการแรงงานกลุ่ม high skill labor ที่มีทักษะด้านเทคโนโลยี
ที่มา : รายงานแนวโน้มธุรกิจ, ธปท. และข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้ประกอบการ

การว่างงานของเด็กจบใหม่นับเป็นปัญหาที่มีความสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะเกิดผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะการเกิดช่องว่างของทักษะการทำงาน (skilled gap) หากคนกลุ่มนี้ว่างงานยาวนาน 2-3 ปี จะยิ่งส่งผลให้เข้าสู่ตลาดแรงงานยากขึ้น ประกอบกับยังมีกลุ่มเด็กจบใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานราวอีก 4-5 แสนคนในแต่ละปี 3  ทำให้ตลาดแรงงานในอนาคตยิ่งน่ากังวลมากขึ้น

*หมายเหตุ :  3 การคาดการณ์สถานการณ์ตลาดแรงงานปี 2565-2566 โดยกรมการจัดหางาน

COVID-19 ส่งผลอย่างไรต่อเด็กจบใหม่ และทำไมปัญหานี้จึงมีความสำคัญ

การระบาดของ COVID-19 กระทบต่อตลาดแรงงานเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กจบใหม่ 4 โดยจำนวนเด็กจบใหม่ว่างงานเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะในไตรมาส 2 ของปี 2564 ที่มีจำนวนถึง 2.9 แสนคน โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา แม้ปัจจุบันการว่างงานโดยรวมจะทุเลาลงบ้าง แต่ยังสูงกว่าระดับเฉลี่ยก่อนการระบาดของ COVID-19 (รูปที่ 3)
หากคิดเป็นอัตราการว่างงานแล้ว พบว่า กลุ่มเยาวชนอายุ 15-24 ปี มีอัตราการว่างงานสูงถึง 7.2% โดยมากกว่าอัตราการว่างงานของแรงงานทั้งหมด ซึ่งอยู่ที่ 1.6% (รูปที่ 4) นอกจากนี้ จากข้อมูล Google trend (รูปที่ 5) ยังพบว่า ความสนใจในการค้นหางานของเด็กจบใหม่ซึ่งยังไม่สามารถหางานทำได้หรือตกงานเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยในช่วงที่ COVID-19 ระบาดหนัก

*หมายเหตุ :  4 มีอายุระหว่าง 15-24 ปี โดยอ้างอิงตามนิยามของ OECD   ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ และ Google Trend, คำนวณโดยผู้ศึกษา

  • หากมองในมิติสาขาที่ยังมีจำนวนผู้ว่างงานสูงที่ได้รับผลกระทบหนักจาก COVID-19 ได้แก่ ภาคบริการและการค้า โดยเฉพาะใน กทม. ภาคกลาง และภาคใต้ (รูปที่ 6) ซึ่งส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับสาขาที่เด็กจบใหม่ไทยเลือกศึกษา จึงอาจซ้ำเติมปัญหาการว่างงานของเด็กจบใหม่มากขึ้น อีกทั้งแต่ละสาขา โดยเฉพาะภาคการค้าและบริการยังจำเป็นต้องใช้เวลาฟื้นตัว จึงยิ่งมีแนวโน้มหางานได้ยากขึ้น

  • ปัญหาการว่างงานของเด็กจบใหม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นในทุกภูมิภาค โดยกลุ่มบัณฑิตที่จบระดับปริญญาตรีในภาคเหนือ อีสาน และใต้ ที่ยังไม่มีประสบการณ์ทำงานและว่างงานมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึง 80%, 73% และ 67% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปี 2019 ซึ่งเป็นช่วงก่อน COVID-19 (รูปที่ 7)

ทั้งนี้ ข้อมูลจากรายงานการย้ายถิ่นของประชากรปี 2020 พบว่า กลุ่มคนอายุ 15-24 ปี มีอัตราการโยกย้ายกลับภูมิภาคในช่วงที่มีการระบาดของ COVID-19 มากที่สุด และคาดว่ายังไม่สามารถหางานทำได้จนถึงปัจจุบัน ทำให้ตลาดแรงงานภูมิภาคมีความเปราะบางมากขึ้น ขณะที่ภาคกลางปรับดีขึ้นบ้างเนื่องจากธุรกิจที่รองรับกลุ่มเด็กจบใหม่มีมากกว่าในภูมิภาคและธุรกิจเหล่านี้เริ่มกลับมาดำเนินการได้ปกติไวกว่าภูมิภาคจากลักษณะของธุรกิจที่มีความเชื่อมโยงกับความต้องการจากต่างประเทศ ซึ่งมีทิศทางฟื้นตัวต่อเนื่อง มากกว่าภูมิภาค

ส่องนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐบทเรียนจากต่างประเทศ

การว่างงานของเด็กจบใหม่ไม่ได้เป็นปัญหาที่พบแค่ในไทย แต่หลายประเทศทั่วโลกได้เผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าวเช่นเดียวกันและหลายประเทศเกิดขึ้นก่อนไทย อาทิ สิงคโปร์ เยอรมนี และเกาหลีใต้ เป็นต้น (รูปที่ 8) โดยประเทศเหล่านี้ได้มีมาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือและจัดการกับปัญหาการว่างงานของเด็กจบใหม่ ซึ่งส่งผลให้ปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มปรับดีขึ้นต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยมาตรการที่น่าสนใจ มีดังนี้

สำหรับไทย ภาครัฐมีมาตรการแก้ปัญหาการว่างงานในกลุ่มเด็กจบใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาคุณภาพแรงงานและการจัดหางาน และในช่วงการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ส่งผลให้การว่างงานในกลุ่มเด็กจบใหม่ปรับเพิ่มขึ้นมาก ภาครัฐได้ออกมาตรการเพิ่มเติม อย่างโครงการ Copayment ที่มีการสนับสนุนค่าจ้างไม่เกิน 50% ให้กับนายจ้างที่จ้างเด็กจบใหม่ตามวุฒิการศึกษาและการจ้างงานจากหน่วยงานภาครัฐในลักษณะสัญญาชั่วคราว 1 ปี 6 ซึ่งมีส่วนช่วยให้ปัญหาดังกล่าวของไทยปรับดีขึ้น สอดรับกับช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว

มองไปข้างหน้า ประสบการณ์จากต่างประเทศที่ได้เผชิญกับปัญหาดังกล่าวก่อนไทย สะท้อนว่า การว่างงานของเด็กจบใหม่จะยังคงเป็นประเด็นของตลาดแรงงานไทยไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งภาครัฐได้เตรียมรับมือโดยมีมาตรการระยะยาว อย่างการผลักดันการพัฒนากำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายของ EEC และขยายผลโครงการ e-Workforce Ecosystem นอกจากนี้ ไทยยังสามารถเรียนรู้ประสบการณ์จากประเทศเหล่านี้และนำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับบริบทของไทยเพิ่มเติมจากมาตรการที่ดำเนินการอยู่ เพื่อช่วยเสริมสร้างให้แรงงานไทยพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในโลกใหม่ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว

บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับธนาคารแห่งประเทศไทย