กอบศักดิ์ชี้เฟดดำเนินนโยบาย “พลาด” ทำให้เกิดฟองสบู่-เงินเฟ้อพุ่งแรง

กอบศักดิ์ ภูตระกูล
ภาพจากเพจเฟซบุ๊ก กอบศักดิ์ ภูตระกูล

กอบศักดิ์ ระบุเฟดดำเนินนโยบายผิดพลาด ทั้งอ่านสถานการณ์โควิดพลาด-มองเงินเฟ้อแค่ชั่วคราว อัดมาตรการกระตุ้นแรงจนเกิดฟองสบู่-เงินเฟ้อพุ่งหนัก ชี้เงินเฟ้อไม่ได้มาจากฝั่งต้นทุนอย่างเดียว มองธนาคารกลางสหรัฐอาจ “ถอนยาช้า” ส่งผลกระทบทำให้ต้องขึ้นดอกเบี้ยแรง

วันที่ 13 มิถุนายน 2565 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพโพสต์เฟซบุ๊ก “Dr.KOB” (https://www.facebook.com/drkobsak) ระบุว่า ความผิดพลาดที่แท้จริงของเฟด (ธนาคารกลางสหรัฐ) !!! ถ้าจะถามว่า “เรามาอยู่สถานการณ์นี้ได้อย่างไร” เราพลาดตรงไหน คำตอบคงต้องบอกว่า กระดุมเม็ดแรกที่ติดผิดไปก็คือ “เราอ่านสถานการณ์โควิดผิดเมื่อ 2 ปีก่อน” ความผิดพลาดดังกล่าวได้นำไปสู่การทำนโยบายที่ให้ยาแรงเป็นพิเศษ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ด้วยความกลัวของทุกคนว่า เมื่อโควิด-19 กระจายไปที่ต่าง ๆ คนจะล้มตายเป็นจำนวนมาก และเศรษฐกิจจะต้องปิดตัวเป็นระยะเวลานาน เพื่อหยุดยั้งการระบาด จนกระทั่งหลายคนพูดกันไปว่า อาจเกิด Great Depression เหมือนช่วงปี 1929 ที่มีคนตกงาน 25% หรือ 1/4 และจะต้องใช้เวลานานนับสิบปีในการแก้ไข

ด้วยเหตุนี้นโยบายการเงินของเฟด (และธนาคารกลางต่าง ๆ ทั่วโลก) ตลอดจนนโยบายการคลังของสหรัฐ ต่างได้ช่วยกันอย่างสอดประสานในการเข้าดูแลเศรษฐกิจ กดดอกเบี้ยต่ำเตี้ยติดดิน และสัญญาณที่ส่งว่าจะต่ำไปอีกนาน

อัดฉีดสภาพคล่องจำนวน 5 ล้านล้านดอลลาร์สู่ระบบ เพิ่มมาตรการทางการคลังมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะหลังท่านไบเดน (นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐ) ชนะเลือกตั้ง

ทั้งหมดนี้ต่างช่วยในการกระตุ้นดูแลเศรษฐกิจเป็นอย่างดียิ่ง แต่สิ่งที่ผิดคาดก็คือ โควิดไม่ได้ร้ายแรงต่อเศรษฐกิจอย่างที่คิด เมื่อผ่านช่วงปิดเมืองช่วงแรกไปได้ เศรษฐกิจก็เริ่มกลับมาขยับเขยื้อนได้ ยิ่งเมื่อมีวัคซีนอย่างรวดเร็วเพียง 8-9 เดือนหลังจากการเริ่มระบาด คนก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติมากขึ้น ต่างจากที่เคยกลัวกันไว้ เรียกว่า หนังคนละม้วน

เมื่อเป็นเช่นนี้ยาแรงที่ใช้ไปก็เลยเกินขนาด คนไข้ฟื้นก่อนคาด แต่ยากระตุ้นยังอยู่เต็มตัว ทั้งหมดจึงนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ที่ตามมา ฟองสบู่ในสินทรัพย์ต่าง ๆ จากเงินที่พิมพ์เข้าไป เศรษฐกิจที่ตึงตัวเป็นพิเศษ เงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core Inflation ของสหรัฐที่ได้หักเอาส่วนที่เป็นพลังงานและอาหารสดออกไปเรียบร้อยแล้ว

“ซ้ำร้ายเมื่อเงินเฟ้อเริ่มผงกหัวและเริ่มขึ้นมา เฟดยังมองพลาดอีกครั้ง มองว่าเงินเฟ้อดังกล่าวเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว มาจากการดีดขึ้นมาของราคาต่าง ๆ หลังเศรษฐกิจฟื้น เป็นเพียงเรื่อง Supply Shocks เท่านั้น และคาดการณ์ต่อไปว่า เมื่อทุกอย่างเข้าที่เป็นปกติ เงินเฟ้อจะลดลงกลับไปที่ 2% ด้วยตัวมันเองในที่สุด แต่ความจริงที่ซ่อนอยู่ข้างหลัง ที่คนไม่ค่อยจะพูดถึงกันก็คือ เงินเฟ้อที่กำลังเกิดขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก “ยาแรงในการกระตุ้นเศรษฐกิจของเฟด” เอง จากดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษ และจากการพิมพ์เงินอัดฉีดจำนวนมากไปในระบบ ทำให้เศรษฐกิจหรือคนไข้คึกคักเกินคาด ทำให้เกิดฟองสบู่ในที่ต่าง ๆ มากมายสะสมเป็นปัญหา”

ยิ่งมีปัจจัยด้าน Supply เช่น ราคาน้ำมัน ราคา Commodities ขึ้นแรง ระหว่าง Post Pandemic Boom ซึ่งมองเห็นกันได้ง่ายกว่า จึงพากันเชื่อว่าเงินเฟ้อที่เกิดมาจาก Supply Shock แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น มองข้าม “ยาแรงของเฟด” ที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและยังไม่ได้ถอน ซึ่งกำลังทำงานอยู่อย่างเงียบ ๆ ด้านหลังในการก่อให้เกิดเงินเฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการยกระดับของเงินเฟ้อพื้นฐานในระบบที่อาจจะไม่กลับปกติเป็น 2% ด้วยตัวของมันเอง

“พูดให้ชัด ๆ เงินเฟ้อที่เรากำลังต่อสู้ ลึก ๆ แล้วมีต้นตอมาจากด้าน Demand เช่นกัน การที่เงินเฟ้อพื้นฐานของสหรัฐสามารถขึ้นมาทะลุ 6% เทียบปีก่อนหน้า น่าจะทำให้เราเฉลียวใจว่า เงินเฟ้อบางส่วนไม่ได้มาจาก Supply shocks อย่างที่เฟดและทุกคนคิด แต่มาจากนโยบายสุดขั้วที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา !!!”

การอ่านสถานการณ์ผิดเกี่ยวกับ (1) ที่มาของเงินเฟ้อ และ (2) แนวโน้มของเงินเฟ้อ ทำให้เฟดพลาดในเรื่องที่ 2 คือ “การถอนยาช้า” เนื่องจากเฟดคิดว่าเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง Supply เป็นหลัก เฟดก็เลยคิดว่า สามารถชะลอการถอนยาไว้ได้อีกเล็กน้อย

การถอนยาช้าทำให้เงินเฟ้อสามารถฝังรากไปในระบบได้ลึกขึ้น และฟองสบู่ที่เกิดขึ้นจากยากระตุ้นขนานแรง จึงใหญ่เป็นพิเศษ จึงกล่าวได้ว่านอกจากเฟดจะใส่ยาแรงเกินต้องการแล้ว ยังถอนยาช้ากว่าที่ควรด้วย ความผิดพลาดทั้ง 2 เรื่อง กำลังนำไปสู่ “สงครามของเฟดกับเงินเฟ้อ” และ “สงครามของเฟดกับฟองสบู่” ที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้เพื่อสะสางปัญหา

ส่วนสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่เกิดขึ้นแบบเกินคาดและลุกลามกว่าคิดก็ได้ซ้ำเติม ทำให้การแก้ไขปัญหาของเฟดยากยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นส่งผลให้เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอีกรอบ และยิ่งทำให้ทุกคนมองพลาดไปที่ Supply Factors มากยิ่งขึ้น

“มาลุ้นกันครับว่า เฟดจะทำอะไรต่อไปในการแก้ปัญหาที่ตนเองก่อไว้ (อย่างไม่ได้ตั้งใจ) เฟดจะต้องใช้ “ยาแรง” แค่ไหนในการถอน “ยาแรงขนานแรก” ที่ใส่ไปช่วงโควิด ยาแรงของเฟดในการเร่งขึ้นดอกเบี้ย เร่งถอนสภาพคล่อง จะนำไปสู่ความปั่นป่วนและสร้างความเสียหายตามมาอีกมากน้อยแค่ไหนให้แก่นักลงทุน ระบบเศรษฐกิจ และ Emerging Markets สุดท้ายมาลุ้นกันว่า “เฟดจะพลาดแล้วพลาดอีก” หรือไม่”