สนามบินสุวรรณภูมิ คาดนักท่องเที่ยวจีนเข้าไทยทะลุล้าน ส.ค.นี้

นายกีรติ กิจมานะวัฒน์

สุวรรณภูมิ-AOT ตั้งโต๊ะแถลง แก้ปัญหาผู้โดยสารแออัด คาด นักท่องเที่ยวจีนเข้าสุวรรณภูมิแตะล้านคน ส.ค. นี้

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พร้อมด้วย นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ร่วมกันแถลงความพร้อมให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 ที่ผ่านมา

ยอดผู้โดยสารสุวรรณภูมิพุ่ง

นายกิตติพงศ์เปิดเผยว่า สถิติเที่ยวบิน และผู้โดยสารในภาพรวมของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ปัจจุบันนับตั้งแต่ประเทศไทยเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2565-15 กุมภาพันธ์ 2566 มีจำนวนเที่ยวบินรวมทั้งสิ้น 107,304 เที่ยวบิน และมีจำนวนผู้โดยสารรวมทั้งสิ้น 17,350,179 คน

เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 คลี่คลายลง ประกอบกับประเทศไทยเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ ส่งผลให้จำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่ทำการบิน ณ ท่าอากาศสุวรรณภูมิ ในภาพรวมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

โดยเฉพาะภายหลังจากสาธารณรัฐประชาชนจีนเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566 รวมถึงได้อนุญาตให้บริษัทนำเที่ยวจัดกรุ๊ปทัวร์นำนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศ เพื่อท่องเที่ยวต่างประเทศตั้งแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา

ส่งผลให้ ทสภ. มีจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในระหว่างวันที่ 8 มกราคม-15 กุมภาพันธ์ 2566 เที่ยวบินที่ทำการบินเข้ามาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน ฮ่องกง มาเก๊า) มีจำนวน 751 เที่ยวบิน เฉลี่ยวันละ 20 เที่ยวบิน และผู้โดยสารขาเข้าจากจีนมีจำนวน 161,502 คน เฉลี่ยวันละ 4,142 คน

ทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดการณ์ว่าจำนวนผู้โดยสารเที่ยวบินขาเข้าจากจีนจะแตะ 500,000 คน ภายในประมาณวันที่ 1 พฤษภาคม 2566 และแตะ 1,000,000 คน ภายในประมาณวันที่ 20 สิงหาคม 2566

แก้ปัญหากระเป๋าช้า-แท็กซี่ขาด

นายกิตติพงศ์กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของความพร้อมในการให้บริการผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้เกิดความแออัดคับคั่งของผู้โดยสารโดยเฉพาะในช่วงเวลาชั่วโมงเร่งด่วน (Peak Hour) นั้น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิมีความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขในหลาย ๆ ประเด็น อาทิ

กรณีการขนถ่ายกระเป๋าสัมภาระล่าช้า หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาดังกล่าว สถิติเที่ยวบินที่กระเป๋าล่าช้ามากกว่า 30 นาที จากเดิมเมื่อเดือนธันวาคม 2565 มีจำนวนประมาณ 50 เที่ยวบินต่อวัน เดือนมกราคม 2566 ประมาณ 30 เที่ยวบินต่อวัน ปัจจุบันเดือนกุมภาพันธ์ 2566 ลดลงเหลือประมาณ 15-20 เที่ยวบินต่อวัน คิดเป็นประมาณร้อยละ 7 ของเที่ยวบินทั้งหมด ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามลำดับ

ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาในระยะสั้นและระยะกลางนั้น บริษัทผู้ให้บริการภาคพื้น ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทั้ง 2 ราย (บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริการภาคพื้นการบินกรุงเทพเวิลด์ไวด์ไฟลท์เซอร์วิส จำกัด) ได้เร่งดำเนินการเพิ่มจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากการเปิดประเทศ

สำหรับการแก้ไขปัญหาในระยะยาว อยู่ระหว่างกระบวนการสรรหาผู้ให้บริการภาคพื้นรายที่ 3 ซึ่ง ทอท. ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดต่อไป โดยคาดว่าจะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน พร้อมทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับปริมาณเที่ยวบิน และจำนวนผู้โดยสารที่จะเดินทางเข้ามายังประเทศไทยให้กับ ทสภ. ต่อไป

นอกจากนี้ ทสภ. ได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหารถแท็กซี่สาธารณะขาดแคลน ให้เป็นไปด้วยความคล่องตัวเพื่อให้ผู้โดยสารได้รับความสะดวกสบายและใช้เวลาในการรอคิวน้อยที่สุด ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรถแท็กซี่ ในระบบเพิ่มขึ้นจากเดิม เป็น 3,909 คัน และ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิคาดว่าจะสามารถเพิ่มจำนวนรถแท็กซี่ เข้าระบบเพื่อรองรับการใช้บริการที่เพิ่มมากขึ้นได้ถึงจำนวน 4,500 คัน ในอนาคตอันใกล้นี้

เร่งแก้ปัญหาแออัด

ด้านนายกีรติเปิดเผยว่า ทอท.อยู่ระหว่างเตรียมการแก้ไขปัญหาความแออัดคับคั่งบริเวณพื้นที่ตรวจหนังสือเดินทางภายในอาคารผู้โดยสาร ทสภ. โดยมีแผนการเพิ่มขีดความสามารถของจุดตรวจหนังสือเดินทาง ณ ทสภ. แบ่งเป็น 2 ระยะ ดังนี้

ระยะที่ 1 ติดตั้งเครื่องตรวจหนังสือเดินทางอัตโนมัติ Auto channel เพื่อรองรับผู้โดยสารขาออกได้ทุกประเทศที่มีการใช้งาน E-Passport ซึ่งการดำเนินการอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ และคาดว่าจะสามารถเริ่มกระบวนการจัดหาพัสดุ ได้ประมาณ เดือนมิถุนายน 2566 และเริ่มทยอยทำการติดตั้งเครื่อง Auto channel ได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2566 ไปจนครบภายในเดือนสิงหาคม 2567 ทำให้มีขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารขาออก จาก 6,200 คน/ชั่วโมง เป็น 8,800 คน/ชั่วโมง และ สามารถรองรับผู้โดยสารขาเข้า จาก 11,000 คน/ชั่วโมง เป็น 13,300 คน/ชั่วโมง

ระยะที่ 2 ก่อสร้างพื้นที่เพิ่มเติมบริเวณพื้นที่ว่าง ที่อยู่ระหว่างอาคารผู้โดยสารกับ อาคาร Concourse D เพื่อเป็นโถงรองรับผู้โดยสารขาเข้า และผู้โดยสาร Visa on Arrival (VOA) ซึ่งการดำเนินการอยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ และจัดทำข้อกำหนดรายละเอียด (TOR)


คาดว่าจะสามารถเริ่มงานได้ประมาณ เดือนพฤศจิกายน 2566 และจะแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2568 โดยเมื่อการดำเนินงานแล้วเสร็จ จะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารขาเข้าได้อีกประมาณ 2,000 คน/ชั่วโมง และเพิ่มการรองรับในส่วนของผู้โดสาร Visa on Arrival (VOA) ได้อีก ประมาณ 400 คน/ชั่วโมง