จับตา 2 อีเวนต์ใหญ่ “สงกรานต์ 2566-เลือกตั้ง” คึกคัก สะพัด 2.5 แสนล้าน

สงกรานต์-เลือกตั้ง เงินสะพัด
รายงาน
ผู้เขียน : เกษตร น้อยทิพย์

จับตาสัญญาณเศรษฐกิจ 2 อีเวนต์ใหญ่ “สงกรานต์ 2566 -เลือกตั้ง’66 เงินสะพัดเกือบ 2.5 แสนล้านบาท คาดช่วยดันเศรษฐกิจไทยทั้งปีโตได้ 3-4% หวั่นปัจจัยลบ เศรษฐกิจโลกถดถอย โอเปกลดกำลังผลิตน้ำมัน ดันราคาน้ำมันพุ่ง กระทบชิ่งหลายส่วน รอวัดฝีมือ “รัฐบาลใหม่” หลังเลือกตั้ง

เผลอแป๊บเดียว เข้าสู่ไตรมาส 2 ของปี 2566 เดือนเมษายน เดือนที่ 4 ของปีไปแล้ว

สัปดาห์นี้ก็จะเป็น long weekend เข้าสู่ช่วงหยุดยาวเนื่องในเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน 13-17 เมษายน 2566 แต่ถ้าใครวางแผนดีๆ น่าจะหยุดได้มากกว่านั้น (เช็กวันหยุดราชการ วันหยุดเดือนเมษายน 2566)

และจะเป็นปีแรกที่คนไทยจะได้เฉลิมฉลองเทศกาลสงกรานต์กันอย่างเต็มเหนี่ยว เต็มที่ หลังจากก่อนหน้าได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 ไม่ได้มีการจัดงานกันอย่างเต็มรูปแบบมาถึง 3 ปี

สงกรานต์ 2566

Advertisment

ผลสำรวจกสิกรไทย ชี้คึกคักสุดในรอบ 3 ปี

ล่าสุด ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่าเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 นี้จะกลับมาคึกคักในรอบ 3 ปี โดยจากการสำรวจจากคนกรุงเทพฯ พบว่าในช่วงวันหยุดยาวเทศกาลสงกรานต์ กลุ่มตัวอย่างคนกรุงเทพฯ 44.7% บอกว่ามีแผนเดินทางท่องเที่ยว

หลัก ๆ จะเป็นกลุ่มผู้ที่เดินทางท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อน และรวมถึงกลุ่มที่ท่องเที่ยวระหว่างเดินทางกลับภูมิลำเนาด้วย

ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีแผนเดินทางมีอยู่ 28.3% ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาจราจรที่ติดขัด

ที่น่าสนใจคือ กลุ่มตัวอย่างเกือบทั้งหมด หรือราว 88.9% มีแผนเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ

Advertisment

ขณะที่การเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศมีปัญหาเรื่องราคาค่าตั๋วโดยสารที่ปรับสูงขึ้นมาก สวนทางกับเที่ยวบินของสายการบินยังเปิดบินได้ไม่เต็มที่

ความต้องการบินหรือไปเที่ยวเยอะ แต่เที่ยวบินมีน้อย ราคาก็เลยถีบตัวสูงขึ้น หลายคนเลยหันมาเที่ยวในประเทศแทน

ประกอบกับในปีนี้หลายพื้นที่กลับมาจัดงานประเพณีสงกรานต์กันอย่างคึกคัก รวมถึงภายในงานมีการจัดรื่นเริงกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจัดงานแสดงดนตรี เป็นต้น

อาจกล่าวได้ว่าปีนี้แทบจะไม่มีมาตรการคุมเข้มการจัดงานจากภาครัฐเท่าไร

ยกเว้นการปรามเรื่องการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การละเล่นที่อันตราย เช่นการห้ามเล่นปืนฉีดน้ำแรงดันสูง การแต่งกายที่ไม่เหมาะสม และการเตือนเรื่องอุบัติเหตุจากการขับขี่ยานพาหนะ

ท่องเที่ยว

แหล่งท่องเที่ยวทางทะเลฮิตสุด-หนีปัญหาฝุ่นภาคเหนือ

ส่วนจังหวัดที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเล เป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ที่กลุ่มตัวอย่างมีแผนไปท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อาทิ พัทยา จ.ชลบุรี หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ เกาะช้าง จ.ตราด จ.ระยอง จ.ภูเก็ต สมุยและสุราษฎร์ธานี

ผลสำรวจในปีนี้ ยังพบว่ากลุ่มตัวอย่างที่เลือกจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวทางภาคเหนือที่เคยได้รับความนิยมอย่างมาก เช่น เชียงใหม่ เชียงราย มีสัดส่วนที่น้อยลง ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากหลายจังหวัดทางภาคเหนือกำลังประสบปัญหาหมอกควันจากไฟป่า และปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่ยังแก้ปัญหาไม่ตก

ส่วนผลสำรวจการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 ของกลุ่มตัวอย่างคนกรุงเทพฯ เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 5,250 บาทต่อคนต่อทริป เพิ่มขึ้นประมาณ 8% จากผลสำรวจในช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ก็ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนโควิดระบาด

“เห็นได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2566 ตลาดไทยเที่ยวไทยฟื้นตัวค่อนข้างดีและกลับมาเติบโตสูงกว่าปี 2562 จากข้อมูลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พบว่าในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2566 คนไทยเดินทางท่องเที่ยวในประเทศมีจำนวน 28.1 ล้านคน-ครั้ง เติบโตประมาณ 46.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตประมาณ 8.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562” ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุ

ไม่แปลกที่ช่วงนี้และช่วงก่อนหน้านี้ ธุรกิจบริการ ทั้งโรงแรม ท่องเที่ยว ร้านอาหาร จะขาดแคลนแรงงานกันจำนวนมาก และล่าสุดธุรกิจการบิน สายการบิน สนามบินก็เปิดรับพนักงานจำนวนมากเช่นกัน

ถึงขนาดต้องประกาศ จ้างพนักงานมาดูจอคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะ เพื่อตรวจสอบ ดูสัมภาระ นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามากันเลยทีเดียว

 

นักท่องเที่ยวจีนทะลัก

ททท. คาดสงกรานต์ต่างชาติเที่ยวไทย 3 แสนคน

สอดรับกับข้อมูลจาก งานวิเคราะห์ตลาดในประเทศและงานวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ กองกลยุทธ์การตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยรายงานคาดการณ์การเดินทางท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2566 ช่วงระหว่างวันที่ 12-16 เมษายน 2566 พบว่า บรรยากาศการเดินทางท่องเที่ยวจากตลาดในประเทศ และตลาดต่างประเทศ คึกคักมากขึ้น และ ททท.คาดว่าจะสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวประมาณ 18,530 ล้านบาท

สำหรับตลาดการท่องเที่ยวในประเทศ ททท.คาดว่า จะมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ 3,808,500 คน-ครั้ง และใช้จ่ายสร้างรายได้หมุนเวียน 13,500 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทั้งจำนวนและรายได้ทางการท่องเที่ยวช่วงสงกรานต์ปี 2566 กลับเข้าสู่ภาวะปกติก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19

ทั้งนี้ ททท.คาดว่า พื้นที่กรุงเทพมหานคร, สงขลา, เชียงใหม่, สุโขทัย, พิษณุโลก, แม่ฮ่องสอน มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยมีจำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทยเดินทางเข้าพื้นที่ประมาณ 785,670 คน-ครั้ง และสร้างรายได้หมุนเวียน 4,120 ล้านบาท

ส่วนตลาดต่างประเทศ ททท.ประเมินว่า ในปีนี้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ตั้งแต่วันที่ 12-16 เมษายนนี้ จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 305,000 คน เพิ่มขึ้น 525% จากปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วน 58% ของจำนวนนักท่องเที่ยวช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2562

สำหรับปี 2566 ททท.ตั้งเป้าหมายมีรายได้จากการท่องเที่ยว 2.38 ล้านล้านบาท โดยเกิดจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาเยือนประเทศไทยทั้งปีจำนวน 25-30 ล้านคน สร้างรายได้ประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวชาวไทยออกเดินทางในประเทศจำนวน 117-135 ล้านคน-ครั้ง สร้างรายได้ราว 8.8 แสนล้านบาท

สงกรานต์
(Photo by Jewel SAMAD / AFP)

ชี้ 2 อีเวนต์ใหญ่ เงินสะพัดเกือบ 2.5 แสนล้าน

ขณะที่ รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ออกมาประเมินสงกรานต์ปี 2566 นี้ว่า จะมีการจับจ่ายใช้สอยกันไม่น้อยกว่า 125,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.3% จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 106,772 ล้านบาท และกลับไปสูงเทียบเท่ากับปี 2559 ที่มีเงินสะพัดจำนวน 124,542 ล้านบาท หรือก่อนช่วงเกิดโควิด

รศ.ดร.ธนวรรธน์ระบุว่า เหตุผลหนึ่งที่ทำให้สงกรานต์ 2566 มีเงินสะพัดมาก เนื่องมาจากปีนี้หน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนมีการจัดงานกันเต็มรูปแบบ โดยกิจกรรมหลักที่จะทำคือ ทำบุญ เล่นน้ำ และงานเลี้ยงสังสรรค์ หลังจากที่ว่างเว้นการจัดงานรื่นเริงอันเนื่องมาจากสถานการณ์โควิดระบาดมากว่า 3 ปี

นี่ยังไม่รวมอานิสงส์จากการเลือกตั้งทั่วไป 2566 ที่ ม.หอการค้าไทยประเมินว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดอีกไม่น้อยกว่า 1-1.2 แสนล้านบาท

จากการสำรวจเบื้องต้นพบว่า ประชาชนกว่า 90% ตัดสินใจว่าจะออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งในครั้งนี้ ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างสถิติการเลือกตั้งให้กับประเทศไทยอีกครั้ง และมีเม็ดเงินเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ 50,000-60,000 ล้านบาท เฉพาะเม็ดเงินในการหาเสียง ซึ่งจะทำให้เงินสะพัดรวมกว่า 100,000-120,000 ล้านบาทแล้ว

เบ็ดเสร็จ เฉพาะ 2 อีเว้นต์ใหญ่นี้ ปาเข้าไปเกือบจะ 2.5 แสนล้านเข้าไปแล้ว ยังไม่นับรวมธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องที่จะตามมาอีก ซี่งม.หอการค้าเชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ 3-4%

กระนั้นก็ตาม บางครั้งโลกก็ไม่ได้สวยงามอย่างที่เราคิดและคาดหวังเสมอไป

เรื่องใหญ่-ปัจจัยลบ ที่ยังต้องเฝ้าติดตาม ทั้งเรื่องเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ซึ่งส่งผลต่อภาคการส่งออกของไทย และปัญหาใหญ่กรณีที่กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างกลุ่มโอเปกประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันในเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งจะทำให้ราคาน้ำมันปรับสูงขึ้น และกระทบชิ่งเป็นวงกว้าง ทั้งปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ การลดการจับจ่ายใช้สอย เรื่องของการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจจะตามมา

แต่หากมองเฉพาะปัจจัยบวกภายในประเทศไทยเรา 2 อีเว้นต์ใหญ่นี้ เม็ดเงินสะพัด 2.5 แสนล้าน ดันเศรษฐกิจทั้งปีโตได้ 3-4%

ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน

หลังจากนั้น ค่อยมาวัดกึ๋น วัดฝีมือ “รัฐบาลใหม่” ที่จะเข้ามา ว่าจะเก่งกล้า สามารถ ตามนโยบายที่หาเสียง หรือขายฝัน ไว้ได้แค่ไหน?