
ทำความรู้จัก “กัญชง” ก่อนปลดล็อกให้ประชาชนขออนุญาตปลูกได้พรุ่งนี้ (29 ม.ค.) เส้นใยนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์หลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้า-เสื้อเกราะกันกระสุน-กระดาษ-โครงสร้างประกอบงานก่อสร้าง-ฉนวนกันความร้อน
วันที่ 29 มกราคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงสาธารณสุข ลงนามในกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 5 เฉพาะกัญชง (Hemp) พ.ศ. 2563 ซึ่งจะมีผลใช้บังคับในวันพรุ่งนี้ (29 ม.ค.)
- เปิดวิธีลงทะเบียน เลือกตั้งล่วงหน้า 2566 มีขั้นตอนอย่างไร ?
- รวมบัตรเครดิตแบบเดอะวิสดอม มีกี่ค่าย บัตรอะไรบ้าง
- กรมอุตุนิยมวิทยา เตือนพายุฤดูร้อนถล่ม 18 จังหวัดอีสาน-ตะวันออก วันนี้
ทุกภาคส่วน ทั้งเกษตรกร ภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป สามารถขออนุญาตปลูกได้ทุกวัตถุประสงค์ ตั้งแต่ การค้า การแพทย์ การศึกษา วิจัย การใช้ตามวิถีชีวิต ประเพณี วัฒนธรรม หรือผลิตเมล็ดพันธุ์รับรอง ซึ่งสามารถนำส่วนต่าง ๆ ของกัญชงไปแปรรูปและสร้างมูลค่าเพิ่มเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ เช่น ช่อดอกนำไปผลิตยา สารสกัดจากกัญชง
ใบนำไปผลิตอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง, น้ำมันจากเมล็ดกัญชงนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์สมุนไพร เครื่องสำอาง, สารสกัดจากกัญชงนำไปผลิตเป็นเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สมุนไพร เป็นต้น
ภญ.สุภัทรา บุญเสริม รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ภายใต้กฎกระทรวงฉบับนี้สามารถขออนุญาตส่งออกกัญชงได้ และภายใน 5 ปี นับแต่วันที่กฎกระทรวงนี้ใช้บังคับ สามารถนำเข้าเมล็ดพันธุ์เพื่อนำมาปลูกได้อีกเช่นกัน
โดยผู้ที่ต้องการขออนุญาตให้ยื่นคำขอ ณ สถานที่ปลูกที่ตั้งอยู่ หากอยู่ที่กรุงเทพฯ ให้ยื่นที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หากอยู่ต่างจังหวัดให้ยื่นที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ส่วนผู้ขอนำเข้าเมล็ดพันธุ์กัญชง ให้ยื่นคำขอที่ อย.
“ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ อย. จะจัดอบรมทางออนไลน์ให้ความรู้เกี่ยวกับกัญชง ในเรื่องกฎหมาย การยื่นคำขออนุญาตเกี่ยวกับกัญชง และการขออนุญาตผลิตภัณฑ์สุขภาพจากกัญชง ผู้ที่สนใจสามารถรับชมทาง Facebook Live FDAThai หรือสอบถามรายะเอียดเพิ่มเติมที่เบอร์ 0-2590-7771-3” ภญ.สุภัทรา กล่าว
ทำความรู้จัก “กัญชง”
ก่อนที่กฎกระทรวงจะมีผลบังคับใช้ในวันพรุ่งนี้ “ประชาชาติธุรกิจ” ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ “กัญชง” ไว้ ดังนี้

ข้อมูลจาก “เทคโนโลยีชาวบ้าน” เมื่อเดือนตุลาคม 2562 ระบุว่า กัญชง (Hemp) มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับกัญชา แต่เนื่องจากมีสารสำคัญ ทั้ง THC และ CBD ต่ำมาก จึงไม่ได้จัดอยู่ในประเภทยาเสพติด
ลักษณะคือมีเส้นใยคุณภาพดีนำมาใช้ในการถักทอได้ดีมาก กัญชง เป็นพืชล้มลุกอายุข้ามปี มีความสูง 1-6 เมตร รูปร่างคล้ายกัญชา แต่มีข้อแตกต่างที่ชัดเจนคือ ขอข้อ หรือชั้นของกิ่งสูงชะลูดกว่ากัญชา กัญชงมีใบเหมือนกัญชา แต่มีสีเขียวซีดกว่า
ส่วนที่เหมือนกันคือ ต้นเพศผู้กับต้นเพศเมียแยกกันอยู่คนละต้น และเมล็ดแก่เต็มที่มีขนาดเล็ก และรูปร่างกลมรีเหมือนกัน และ กัญชาแมว (Catnip) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nepeta cataria จัดอยู่ในประเภทมินท์ หรือสะระแหน่ ต้นเดี่ยวสูงเฉลี่ยประมาณ 1 เมตร พบเห็นขึ้นอยู่ตามที่รกร้างว่างเปล่าทั่วไป มีสารออกฤทธิ์ ชื่อว่า Nepetalactone
ผลของสารชนิดนี้ช่วยให้แมวแสดงอาการร่าเริง แต่ในทางตรงข้ามในสุนัขกลับทำหน้าที่คล้ายยานอนหลับ ส่วนที่แมวชอบกัดกินคือส่วนราก
ส่วนสรรพคุณทางยาสำหรับมนุษย์ ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้นและช่วยลดอาการไข้ได้ดี รูปร่างหน้าตาของกัญชาแมว เป็นประเภทใบเดี่ยว ทรงพัด กลมรี กว้างและยาว 5-6 เซนติเมตร ก้านใบยาวเท่ากัน ที่ 5-6 เซนติเมตร ออกเวียนรอบต้นเดี่ยวไม่มีแตกแขนง ออกดอกสีเขียว เป็นช่อรูปแบบเหมือนลูกชิ้นที่อยู่ในไม้เสียบทิ้งระยะห่าง ๆ แต่มีรูปร่างเหมือนขันเล็ก ๆ คว่ำลงแทนลูกชิ้น ในหนึ่งช่อจะมีดอกเพศเมีย 10-14 ดอก ส่วนเกสรเพศผู้จะอยู่ปลายสุดของช่อ

บทบาท “กัญชง” ต่อวัฒนธรรมชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง
เทคโนโลยีชาวบ้าน เผยด้วยว่า กัญชง หรือ เฮมพ์ เป็นพืชที่มีบทบาทต่อการดำรงชีวิต และวัฒนธรรมชาวไทยภูเขาเผ่าม้งมานานแล้ว และการที่มีการปลูกการใช้เส้นใยอยู่ในแวดวงจำกัด เนื่องจากคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ กำหนดให้เฮมพ์เป็นพืชเสพติดประเภท 5 ตามพ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ซึ่งก็มีบทบาทลักษณะเดียวกับกัญชา พืชกระท่อมและฝิ่น จึงทำให้ไม่เป็นที่แพร่หลายสำหรับประชาชนทั่วไป
ในปี 2547 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ภาคเหนือ มีพระราชประสงค์ให้มีการศึกษาและส่งเสริมให้เกษตรกรชาวไทยภูเขาปลูกเฮมพ์ เพื่อใช้ในครัวเรือน และจำหน่ายในตลาดส่งเสริมอาชีพและสร้างรายได้จากงานหัตถกรรม
ขณะเดียวกัน มูลนิธิโครงการหลวงได้เล็งเห็นประโยชน์และความสำคัญ จึงได้ศึกษารวบรวมเมล็ดพันธุ์เฮมพ์ในพื้นที่โครงการหลวงนำมาทดลองปลูกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข
คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อ 1 มีนาคม 2548 หารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดมาตรการพัฒนาและส่งเสริมเฮมพ์ ให้ผลิตเป็นรายได้เสริมแก่เกษตรกรรายย่อยหน่วยงานต่างๆ ได้แก่ มูลนิธิโครงการหลวง สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) องค์การสวนพฤกษศาสตร์ สำนักป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานอาหารและยา กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สถาบันการศึกษา หน่วยงานทหารและตำรวจที่เกี่ยวข้อง มีมติโดยเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาเฮมพ์ บนพื้นที่สูงภาคเหนือ ระยะเวลา 5 ปี พ.ศ. 2553-2557 เพื่อให้เป็นที่นำร่องในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ
โดยเกษตรกรจะใช้พันธุ์เฮมพ์ที่เก็บไว้ใช้ปลูกเอง หลายสายพันธุ์ที่ผ่านการคัดเลือก มีสารเสพติดต่ำ แต่ให้ผลผลิตและคุณภาพสูง เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และขึ้นทะเบียนรับรองพันธุ์ จำนวน 4 พันธุ์ ได้แก่ พันธุ์วี 50 พันธุ์ปางอุ๋ง พันธุ์แม่สาใหม่ และพันธุ์ห้วยหอย เกษตรกรเข้าร่วมโครงการและฝึกอบรม 500 ราย พัฒนาผืนผ้า นอกจากเฮมพ์หลากหลายลวดลาย
รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือเครื่องจักรในการลอกเปลือกในการผลิตเส้นใยเฮมพ์ เพื่อนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ เสื้อผ้า หมวก ผ้าเช็ดตัว ผืนผ้า รองเท้า กระเป๋า วัสดุแทนสิ่งทอ เสื้อเกราะกันกระสุน ทำกระดาน หรือบอร์ด กระดาษ กระเป๋าเดินทาง โครงสร้างประกอบงานก่อสร้าง ฉนวนกันความร้อน แกนของต้นเฮมพ์ซึ่งลอกเปลือกออกแล้วมีความแข็งแรง มีรูพรุนภายในระบายอากาศได้ดี สามารถนำไปดัดแปลงแปรรูปต่าง ๆ ได้มากมาย


การปลูกกัญชง
สำหรับระยะปลูกไม่สำคัญมากนัก แต่ถ้าทำตามคำแนะนำของโครงการปลูกเป็นแถว ก็มีระยะ 15-20 เซนติเมตร หากใช้วิธีหยอดหลุมก็จะหยอดหลุมละ 5 เมล็ด แล้วถอนเหลือ 3 ต้น กำจัดวัชพืชเมื่ออายุประมาณ 30-45 วัน ใส่ปุ๋ย แต่สำหรับชาวม้งจะใส่เฉพาะขี้เถ้าตามภูมิปัญญาชาวไทยภูเขา ปลูกได้ 75-90 วัน ต้นจะสูงประมาณ 2 เมตร หรือก่อนที่จะออกดอกเพศผู้ ช่วงนี้เส้นใยจะเหนียว เบา เยื่อสีขาว เหมาะสำหรับเป็นเส้นใยทอผ้า
การเก็บเกี่ยวตัดที่โคนต้นติดดิน หรือสูงไม่เกิน 10 เซนติเมตร ริดใบเฮมพ์ให้หมด เหลือลำต้นมัดรวมประมาณ 10 ต้น นำไปตากแดด หรือวางไว้ใต้ต้นไม้ ประมาณ 4-5 วัน จึงนำเข้าสู่กระบวนการลอกเปลือก หรือลอกเส้นใยนำไปแปรรูปใช้ประโยชน์ต่อไป