สหรัฐฯ ช่วยไทยสู้โควิด-19 นานแล้ว ข้อเท็จจริงจาก “สถานทูตสหรัฐฯ”

สหรัฐช่วยไทยมานานแล้ว
นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (REUTERS/Kevin Lamarque/File Photo)

สถานทูตสหรัฐอเมริกาและสถานกงสุลในประเทศไทย เผยแพร่เอกสารข้อเท็จจริง ชี้ให้เห็นว่าสหรัฐฯไม่ได้ช่วยไทยแค่การบริจาควัคซีนโควิด แต่ช่วยสนับสนุนเป็นมูลค่ากว่าพันล้านบาทแล้ว

วันที่ 5 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี รัฐบาลสหรัฐ เปิดเผยรายชื่อประเทศที่จะส่งออกวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปให้ โดยส่วนใหญ่จะบริจาคผ่านโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ที่มุ่งแจกจ่ายวัคซีนไปตามประเทศยากจน นอกจากนี้ยังรวมถึงประเทศไทยด้วย แม้ประเทศไทยจะไม่อยู่ในโครงการโคแวกซ์ก็ตาม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ต่อมา เว็บไซต์สถานทูตสหรัฐฯและสถานกงสุลในประเทศไทย เผยแพร่ เอกสารข้อเท็จจริง: สหรัฐฯ สนับสนุนไทยในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ประกอบด้วยข้อมูลเบื้องต้น และข้อมูลเรื่องการส่งเสริมการตอบโต้โรคโควิด-19 ของไทยในทุกระดับ ดังนี้

ข้อมูลเบื้องต้น

  • รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศกรอบความร่วมมือเพื่อแบ่งปันวัคซีนจำนวน 80 ล้านโดสทั่วโลกภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ในแผนการส่งมอบวัคซีน 25 ล้านโดสแรก จะมีวัคซีนจำนวน 7 ล้านโดสที่มอบให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย รวมถึงประเทศไทย โดยเพิ่มเติมจากความช่วยเหลือมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญที่สหรัฐฯ ได้ประกาศว่าจะมอบให้กับโครงการ COVAX
  • รัฐบาลสหรัฐฯ มอบความช่วยเหลือให้ไทยเพื่อรับมือกับโรคโควิด-19 รวมมูลค่า 30 ล้านเหรียญ (ประมาณ 933 ล้านบาท) โดยในจำนวนนี้เป็นการบริจาคเครื่องช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย และอุปกรณ์ป้องกันรวมมูลค่า 5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 155 ล้านบาท) ให้กับแพทย์และพยาบาลไทย รวมทั้งความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายตามแนวชายแดน
  • ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐฯ (S. CDC) ได้มอบความช่วยเหลือเพิ่มเติมมูลค่า 13 ล้านเหรียญ (ประมาณ 404 ล้านบาท) โดยทำงานเคียงบ่าเคียงไหลกับกระทรวงสาธารณสุขของไทย

ส่งเสริมการตอบโต้โรคโควิด-19 ของไทยในทุกระดับ

  • การตรวจหาการติดเชื้อ:องค์การเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐอเมริกา (USAID) ตลอดจน S. CDC และกองทัพสหรัฐฯ ได้ช่วยเหลือรัฐบาลไทยในการเสริมสร้างศักยภาพการตรวจวินิจฉัย โดย USAID ช่วยไทยยืนยันผู้ป่วยโควิด-19 รายแรกที่เดินทางมาจากต่างประเทศเมื่อเดือนมกราคม 2563
  • การเฝ้าระวังชายแดน: U.S. CDC พัฒนาศักยภาพโครงการเฝ้าระวังในค่ายอพยพ 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา โดยได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 ในตัวอย่างส่งตรวจไปแล้วกว่า 1,500 ตัวอย่าง และตรวจพบการระบาด 3 แห่ง ซึ่งช่วยให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในค่ายตระหนักถึงสถานการณ์การระบาดได้โดยเร็วและป้องกันการแพร่กระจายของโรคในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยงสูง
  • การรักษา:USAID สนับสนุนการให้คำปรึกษาทางออนไลน์และมอบเครื่องวัดออกซิเจนในเลือดเพื่อช่วยให้กลุ่มประชากรหลักที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 ดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองและเข้าถึงการรักษาได้ง่ายขึ้น โดยรวมไปถึงกลุ่มผู้อพยพ
  • การพัฒนาวัคซีนและยา: นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารของสหรัฐฯ กำลังร่วมมือกับภาคีชาวไทยศึกษาวิจัยวัคซีนในประเทศเพื่อเร่งรัดความพยายามในการปกป้องคนไทยในอนาคต
  • การบริจาคชุดPPE: รัฐบาลสหรัฐฯ ได้บริจาคเครื่องช่วยหายใจ หน้ากากช่วยหายใจ หน้ากากอนามัย แว่นตานิรภัย และอุปกรณ์ป้องกันรวมมูลค่า 5 ล้านเหรียญ (ประมาณ 155 ล้านบาท) ให้กับแพทย์และพยาบาลไทย รวมทั้งมอบความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัยในค่ายตามแนวชายแดน
  • โครงการให้ความรู้กับผู้อพยพ: U.S. CDC และ USAID ดำเนินกิจกรรมกับชุมชนผู้อพยพ โดยให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการรักษาความสะอาดเพื่อยุติหรือลดการแพร่กระจายของโรคโควิด-19 แก่ผู้อพยพและประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนกว่า 117,601 คน
  • การช่วยเหลือผู้กักตัว:USAID ร่วมพัฒนาแอปพลิเคชัน “พ้นภัย” สำหรับอุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อช่วยให้ประชาชนที่ต้องกักตัวอยู่ใน 69 จาก 77 จังหวัดทั่วประเทศไทยได้รับการแจกจ่ายชุดยังชีพ 188,203 ชุด พร้อมทั้งน้ำดื่ม (มูลค่าเกือบ 4 ล้านเหรียญ หรือเกือบ 124 ล้านบาท) ได้โดยตรงและรวดเร็ว
  • การวิจัย: ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ สหรัฐฯ ในประเทศไทย ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขของไทยศึกษาวิจัยโครงการการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เพื่อประเมินความรู้ ทัศนคติ และการปฏิบัติตนในการฉีดวัคซีนในกลุ่มประชากรหลัก