คุยกับซีอีโอ “Bitkub” สตาร์ตอัพยูนิคอร์น ในวันไร้เงา “เอสซีบี”

จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา Bitkub
จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา

ขึ้นเร็วลงเร็ว เหมือนตลาดคริปโตเคอร์เรนซีปัจจุบัน สำหรับ Bitkub ที่เมื่อปลายปีที่แล้วโด่งดังเป็นพลุแตกในฐานะสตาร์ตอัพยูนิคอร์นตัวที่ 3 ของไทย เมื่อ “เอสซีบี” ธนาคารพาณิชย์เก่าแก่ที่สุดของประเทศประกาศเข้าซื้อหุ้น 51% มูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาท (2 พ.ย. 2564) ท่ามกลางการจับตาของหลายฝ่าย

ทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจำนวนมาก ด้วยว่าการลงทุนในธุรกิจเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล ถือเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ ไม่ใช่แค่ในบ้านเรา แต่ในตลาดโลกก็ไม่ต่างกัน เมื่อประกาศยุติการซื้อหุ้น (25 ส.ค. 2565) ก็ดังเขย่าวงการไม่แพ้กัน หากแต่เป็นหนังคนละม้วนกับช่วงแรก เพราะไม่ได้จบแบบ “แฮปปี้เอ็นดิ้ง” แต่เป็นการประกาศแยกทางกันอย่างเป็นทางการ หลังขอขยายเวลาในการทำธุรกรรม ไปยังไม่ทันจะครบเดือน

ถึงอย่างนั้น ปรากฏการณ์ “ดีลล่ม” ก็ไม่ถึงกับเซอร์ไพรส์ เพราะมีกระแสออกมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สิ้นสุดไตรมาสแรกตามที่เคยประกาศไว้ว่าน่าจะดีลจบในช่วงนั้น

ก่อนดีลล้ม 1 อาทิตย์ “ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ “ท้อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ซีอีโอ บิทคับกรุ๊ป หลากหลายแง่มุมทั้งที่เกี่ยวกับสถานะการเป็น “ยูนิคอร์น” การเข้าไปสนับสนุนศึกแดงเดือด เป้าหมายในอนาคต และสิ่งที่เขาพบเจอที่ผ่านมา

Q : เป้าหมายในแต่ละช่วง

จริง ๆ ในทุกช่วงชีวิตผม ผมจะมีแค่เป้าหมายเดียวเท่านั้น ช่วงมหาวิทยาลัย ตอนปริญญาตรีก็อยากเข้ามหาวิทยาลัยเบอร์หนึ่งของโลกให้ได้ ทำทุกอย่างเพื่อเข้าให้ได้ พอเข้าออกซ์ฟอร์ดได้ เป้าหมายเดียวคือต้องจบให้ได้ เรียนหนักมาก เพื่อให้จบให้ได้ ตอนเปิดบริษัทแรก Coin.co.th ก็เพื่อพิสูจน์ให้คนส่วนใหญ่ที่ดูถูกเรา ที่ไม่เข้าใจบิตคอยน์ว่าเราเป็นคนส่วนน้อยที่ถูก ในขณะที่คนส่วนใหญ่ผิดมาก ๆ เกี่ยวกับบิตคอยน์

ของบิทคับ เป้าหมายแรกเป้าหมายเดียว คือ สร้างยูนิคอร์นตัวแรกให้ไทย แต่พอทำได้แล้ว ก็มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น คือ อยากสร้างบิทคับให้เป็นคริติคอลอินฟราสตรักเจอร์เกี่ยวกับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทย ที่ในอนาคตคนไทยทุกคนจะต้องใช้บริษัทเราสร้าง

สร้างบริษัทที่มีอิมแพ็กต์กับคนไทยจำนวนเยอะมาก ๆ ไม่ต่างอะไรจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่ต่างจากธนาคารที่เป็นโครงสร้างพื้นฐาน เป็นคริติคอลคันทรีอินฟราสตรักเจอร์ ที่ไม่มีไม่ได้ต่อประเทศ ต่อความอยู่รอดของประเทศ

ก็หวังว่าเราจะเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ที่มีความรู้ความสามารถ อย่างน้อยก่อนที่จะจากโลกนี้ไป ได้ทิ้งอะไรให้ประเทศที่จะใช้ในเจเนอเรชั่นต่อไป

เราเป็นคนโชคดีมาก ที่มีทีมที่เก่ง จังหวะเวลาที่ใช่ มีรีซอร์ซที่พร้อม ถ้าเรามีขนาดนี้ยังท้อยังยอมแพ้ ก็จะเสียโอกาสเปล่า ๆ คนอื่นเขาคงจะทำเต็มที่ เราก็ควรจะพยายามเต็มที่

Q : ถ้าดีลไม่ดัน ยูนิคอร์นก็ไม่เกิด

จริง ๆ คำว่า ยูนิคอร์น ไม่ควรให้คนอื่นมาตีมูลค่า สมมุติบริษัทขาดทุนมหาศาล แล้วมีบริษัทหนึ่งมาบอกว่าให้มูลค่าที่สามหมื่นล้าน ลงแค่ร้อยล้านสองร้อยล้าน อันนั้นถือว่าเป็นยูนิคอร์นเหรอ คงไม่ใช่ คือตัวเลขมันชัด ชัดจนเราไม่ต้องให้คนข้างนอกมาบอกว่าเราเป็นยูนิคอร์นหรือเปล่า ปีที่แล้วเราทำเงินได้ 5,500 ล้านบาท กำไร 2,600 ล้านบาท ในต่างประเทศบริษัทที่เป็นยูนิคอร์นขาดทุนมหาศาล เราเลือกที่จะเป็นบริษัทอย่างนั้น หรือเลือกที่จะเป็นบริษัทที่ผลิตเงิน มีกำไรหลังหักทุกอย่างแล้ว 2,600 ล้านบาท ได้ทุกปี คูณ PE 13 ก็เป็นยูนิคอร์นแล้ว 3 หมื่นกว่าล้านบาท

บริษัทที่โต 2,000% กับ PE 13 เกินยูนิคอร์นไปไกล ถ้า Bitkub อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผมว่าเป็นยูนิคอร์นหลายตัวรวมกัน ไม่ใช่แค่ตัวเดียว ตัวเลขมันพิสูจน์อยู่แล้ว มันบอกชัดเจน ไม่ต้องให้คนอื่นมาบอกว่าเราเป็นยูนิคอร์นหรือเปล่า เลยจุดนั้นด้วยซ้ำไป

Q : แผนเข้าตลาดก็ยังอยู่

Bitkub มีเป้าหมายที่จะเข้าตลาด อยากให้เป็นบริษัทที่คนไทยเป็นเจ้าของร่วมกัน ถ้าเข้าตลาดก็จะเป็นบริษัทเทคโนโลยีเดียวที่ไม่ใช่ OEM เป็นเทคคัมปะนีจริง ๆ ที่เป็นแพลตฟอร์มธุรกิจที่เป็นของคนไทย 100% ถ้าเข้าได้ก็จะยกระดับตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มีคุณภาพที่ดี

ดีอี เรโช ศูนย์ PE13 Growth 2,000% มีกำไรสุทธิ 50% ยังไม่มีบริษัทประเภทนี้ในตลาดหลักทรัพย์ไทยมาก่อน ถ้าเข้าไปก็จะเป็นเหมือนกลุ่ม FAANG (คำย่อของกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี Facebook-Amazon-Apple-Netflix และ Google) ของแนสแดค แต่เรายังไม่มีกลุ่มแฟงในตลาดหลักทรัพย์ไทย ก็หวังว่าจะเป็นตัวแทนของคนไทยที่จะสร้างบริษัทเทคโนโลยีจริง ๆ ที่อยู่ในกลุ่มแฟงในตลาดหลักทรัพย์ไทยให้ได้

Q : การขยายตลาดอาเซียน

โฟกัสของเรา 4 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท คือการสร้างอินฟราสตรักเจอร์ให้คนไทย ประเทศไทยเท่านั้น สังเกตว่า Bitkub เป็นสตาร์ตอัพที่ไม่เหมือนสตาร์ตอัพอื่นอยู่อย่าง คือผู้ถือหุ้นเราไม่มีกองทุนเลย

ไม่มีวีซี ไม่มีต่างชาติเลย และเป็นคนไทย 100% ตั้งแต่ผู้ถือหุ้น พนักงาน 2 พันกว่าคน คนไทย 100% และอยู่ในเมืองไทย จดทะเบียนในไทย จ่ายภาษีให้ประเทศเต็ม ๆ

อันนี้คือข้อแตกต่าง และเราพยายามสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อโลกอนาคต ต่อเศรษฐกิจดิจิทัลให้ไทยใช้ จนใหญ่สุดในอาเซียน

หลายคนมองเข้ามา ชื่นชม Bitkub ผมเพิ่งได้มีโอกาสคุยกับแบงก์ชาติของสิงคโปร์ เขาถามว่าทำไมเราไม่ไปขอใบอนุญาตที่สิงคโปร์ เขายังแอบบอกว่าเจ้านายเขาสั่งมาว่าชวนเราไปให้ได้ คนข้างนอกมองเข้ามาชื่นชม และอยากให้ไปอยู่ประเทศเขา ก.ล.ต.เวียดนามก็มาดูงานเรื่องดิจิทัลแอสเซต แบงก์ชาติลาว รัฐมนตรีกัมพูชาก็มาเยี่ยมออฟฟิศ

เราเหมือนโรลโมเดลของหลายที่ แต่เป้าหมายต่อจากนี้ คือออกไปบุกประเทศอื่น เหมือน Gojek และ Grab ที่มาบุกเมืองไทยแล้วเอาเงินกลับประเทศเขา เราก็อยากเป็น Bitkuber ของคนไทย แล้วเอาเงินกลับประเทศเราบ้าง

ผมคิดว่า 1 ใน KPI ที่รัฐบาลควรวัด คือผลักดันให้มี national champion มากขึ้น ไม่ใช่พึ่งแต่การลงทุนของต่างชาติ ก็หวังว่าปีนี้เป็นต้นไป Bitkub จะได้โอกาสในการเริ่มขยายสาขาไปต่างประเทศมากขึ้น เป็น regional campanyที่มี headquater อยู่ที่เมืองไทย

Q : ด้วยทุนของเราเองทำได้

จริง ๆ ด้วยทุนของเรา รีซอร์ซของเรา กำลังคน แมเนจเมนต์ สกิลเซต ทำได้ แต่ทุกวันนี้ 50% ของรีซอร์ซเราทั้งหมดเสียไปกับการทะเลาะกันเองในบ้าน มีคนที่ไม่ได้อยากสนับสนุนให้บริษัทรุ่นใหม่เกิดขึ้นในไทย

คอมมิวนิเคชั่นแกปค่อนข้างใหญ่ แทนที่จะเอา 50% ของรีซอร์ซไปบุก ตปท.ด้วยกัน เหมือนที่ “วีแชท” สามารถยิ่งใหญ่ได้ก็เพราะรัฐบาลสนับสนุน ฟินเทคของจีน ทุก ๆ ฟินเทคยูนิคอร์นรัฐบาลสนับสนุนหมด ยกเว้นประเทศไทยที่เรากัดฟันเอามีดสู้กับปืนมาตลอด จนใหญ่ได้ขนาดนี้ ก็หวังว่าผู้ใหญ่จะเข้าใจมากขึ้น

นาน ๆ ทีจะมีคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันแล้วเก่งได้ขนาดนี้ในประเทศเรา ถ้า Bitkub ทำไม่ได้ก็จะเป็นความผิดหวังของวงการสตาร์ตอัพอีกเยอะ

Q : โครงสร้างพื้นฐานที่กำลังทำมีอะไรบ้าง

เรามี 9 บริษัทแล้ว แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จักกันแค่ Crypto Currency Exchange จริง ๆ เรามีบล็อกเชนของตัวเอง ชื่อ Bitkub chain ตอนนี้คอนโทรล ประมาณ 100% มาร์เก็ตแชร์ เป็น National blockchain ไปแล้ว

พูดง่าย ๆ ทุก ๆ แอปพลิเคชั่นที่เป็น ดีแอป (DApp-Decentralized Application) สร้างบน Bitkub chain หมดแล้ว ทุก ๆ NFT Tokenization ก็อยู่บน Bitkub chain เรามี NFE Marketplace มี Bitkub Academy มี Bitkub Venture

ปีที่แล้วลงทุน 10 ล้านบาท ให้กับสตาร์ตอัพรุ่นน้อง ปีนี้ลง 100 ล้าน หวังว่าปีหน้าจะลงทุนเป็นพันล้านบาท เพิ่มขึ้นสิบเท่าทุกปีได้ เพื่อสร้างโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ สร้างสตาร์ตอัพอีโคซิสเต็ม

เรายังมี Bitkub Msocial เป็นพื้นที่ให้มานั่งทำงาน สร้างคอมมิวนิตี้ให้รุ่นพี่รุ่นน้อง ให้นักลงทุนมาเจอกัน มี NFT gallery มี Bitkub Metaverse ที่กำลังจะเปิดตัวเดือนหน้า และมี Bitkub worldtech ที่ผลักดันด้านการศึกษา ผลักดันดิจิทัลให้กับภาครัฐ และเอกชน มี Bitkub ที่เวียดนาม ที่มีทีมวิศวกร 40-50 คน เป็นกลุ่มที่สร้างดิจิทัลอินฟราสตรักเจอร์ให้กับประเทศไทย

บล็อกเชน เป็นซับเซตของเทคโนโลยีอีกสิบกว่าตัวที่จะมาในอีกสิบปีข้างหน้า ในกลุ่มที่เรียกว่าเว็บ 3.0 มีบิ๊กดาต้า, ไอโอที, อินเทอร์เน็ตฟรอมเดอะสกาย, 3D Printing XR คริปโตเคอร์เรนซี NFT ฯลฯ พวกนี้จะทำงานร่วมกันเป็นแพ็กเกจของเทคโนโลยีของเว็บ 3.0

ตอนผมกลับมาจากดาวอส ที่นั่นเขาบอกเศรษฐกิจดิจิทัลของจีนมีสัดส่วน 40% ของจีดีพีของประเทศ เกือบครึ่งของประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลกมาจากเศรษฐกิจดิจิทัล รองนายกฯยูเครน ก็ไปที่ดาวอส ควบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลฯ อายุ 31 ก็บอกว่าไอทีอีโคโนมีอยู่ที่ 30% ของจีดีพีประเทศแล้ว ทั่วโลกเริ่มขยับเขยื้อนสนับสนุนเศรษฐกิจดิจิทัลกันหมดแล้ว

เมืองไทยเศรษฐกิจดิจิทัลจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นศูนย์ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทุกประเทศต้องมีในอนาคต National blockchain ให้ทุกคนมาสร้าง DApp ถ้าไม่มี NFT Metaverse จะต่างอะไรกับการเล่นเกม

เราทำเรื่องนี้ก่อน LINE ก่อน Twitter ล่าสุด แบ็กล็อกกองทุนที่ใหญ่ที่สุดของโลก บริหารจัดการสินทรัพย์มูลค่าหลายทริลเลียนดอลลาร์ จับมือกับคอยน์เบสเพื่อให้ทรัพย์สินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์เป็นหนึ่งในทรัพย์สินการลงทุนของคนทั่วไปได้แล้ว ขณะที่เมืองไทย ห้าม ๆ

สุดท้ายก็ต้องไปใช้ของต่างชาติ

เราอยู่ในยุคที่โลกเชื่อมกันหมดแล้ว มันหยุดให้คนไทยไปใช้เฟซบุ๊กไม่ได้ แอร์บีเอ็นบีไม่ได้ ถ้าไม่สนับสนุน เราก็หยุดให้อินโนเวชั่นหยุดไม่ได้อยู่ดี แต่ไปเกิดต่างประเทศ

เราต้องเปลี่ยนเรโชของจีดีพีของประเทศ ให้ 30-40% มาจากเศรษฐกิจดิจิทัลให้ได้ เป็นดิจิทัลฮับของอาเซียนให้ได้

เราเป็นบริษัทที่ทำแค่พิล่าร์เดียว คือบล็อกเชนเทคโนโลยี และดิจิทัลแอสเสต จึงต้องผลักดันให้มีเทคโนโลยีคอมปะนีที่เป็นคนไทยที่ทำหลายแขนงมากขึ้น

Q : ผลกระทบจากเงินเฟ้อและ ศก.

หลังจากที่ผมกลับจากที่ดาร์วอท ก็ทำให้เห็นเทรนด์ของโลกชัดเจน ผู้นำทั่วโลกพูดกันเยอะมากเรื่องเงินเฟ้อ เขาบอกเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบ 40 ปี ของอเมริกาที่ 8% และ 7% ของเยอรมนี

ไทยถือว่าอยู่ในภูมิภาคที่เงินเฟ้อต่ำสุด แต่ก็ยังสูงสุดในรอบ40 ปี เป็นสถานการณ์ที่แบงก์ชาติทั่วโลก ต้องเหยียบเบรก หลังจากที่เหยียบคันเร่งมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา

แบงก์ชาติของอังกฤษ เฟดของอเมริกาขึ้นดอกเบี้ย เงินก็ไหลออกจากระบบ เวลาคนจะกู้ต้นทุนสูงขึ้น เงินในกระเป๋าก็น้อยลง จับจ่ายใช้สอยน้อยสุดท้ายสินค้า หรือการบริการไม่มีการขยับ บริษัทต่าง ๆ ก็ต้องลดต้นทุน

บางบริษัทต้องไล่คนออก เราเริ่มเห็นบริษัทเทคโนโลยีเริ่มให้คนออก เริ่มขาดทุนกัน บริษัทไหนขาดทุนอยู่แล้ว รันธุรกิจบนขาดทุน นักธุรกิจก็จะไม่ลงทุนเหมือนในอดีต

เขาจะลงทุนในบริษัทที่กำไรเท่านั้น ทั่วโลกกำลังกังวลกันในเรื่องเศรษฐกิจถดถอย เราก็หวังว่าจะไม่ถึงจุดนั้น

รัฐบาลต้องเริ่มที่จะขึ้นภาษี เก็บภาษีให้มากขึ้น แต่อย่าเก็บคนจน ต้องเก็บภาษีคนรวยให้มากขึ้น เก็บภาษีบริษัทที่ทำกำไรให้เยอะขึ้น เพื่อปิดแก็บ

บริษัทอย่างบิทคับ เก็บภาษีเยอะ ๆ บริษัทใหญ่ ๆ ในไทยที่กำไรเยอะ ๆ เก็บภาษีเยอะ ๆ แล้วเอามาลดหนี้ครัวเรือน เพิ่มการจ้างงาน เพราะคนจะตกงานมากขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า

อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำยาก แต่จำเป็นต้องทำในอีกสองปีข้างหน้า

Bitkub เองก็ต้องรัดเข็มขัดเหมือนกัน แต่เราโชคดีไม่ต้องไล่พนักงานออก 50% เหมือนบริษัทอื่น แต่เราต้องเลิกใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น

Q : การสนับสนุนเดอะแมตช์

พูดตามตรงก็คือ Bitkub จ่าย120 ล้าน ในการจัดเดอะแมตช์ให้คนไทยทั้งประเทศดู เราไม่ได้จ่ายในสิ่งที่จำเป็น แต่จ่ายในสิ่งที่เป็น “ลักชัวรี่ สเปนดิ้ง” ถามว่า ไม่จ่ายได้ไหม ได้

แต่ถามว่า ตัดสินใจผิดไหม ไม่ผิด ที่สนับสนุนให้มีศึกแดงเดือด เพราะประเทศไทยเงียบมาสองปี เกิดโควิดมา 2 ปี ไม่มีอีเวนต์ใหญ่ ๆ ถ้าเราสามารถจัดอีเวนต์ระดับโลกได้ ก็จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้คนไทย ให้คนกลับมายิ้มได้ มีแรงบันดาลใจที่จะสู้

เราได้พาน้อง ๆ เยาวชนนักเตะคนไทยไปสัมผัสรสชาติว่าศึกแดงเดือดเป็นยังไง เห็นนักเตะที่เขาชื่นชอบตัวเป็น ๆ

และกระตุ้นการท่องเที่ยวให้ประเทศเพราะกำลังเปิดประเทศพอดี มีเดอะแมตช์เป็นตัวกระตุ้น การท่องเที่ยวถ้าจะทำให้เพิ่มจาก 2% กลับไป 20% ได้ ต้องใช้ตัวกระตุ้น เราอยู่ 2% ต่อไปอีก 2 ปีไม่ได้ ต้องกลับไป 20% ให้เร็วที่สุด จึงต้องจัดอีเวนต์ใหญ่ ๆ เพื่อเป็นตัวกระตุ้น

Bitkub เสีย 120 ล้านบาท แต่ประเทศได้ประโยชน์ มากกว่าเยอะในการสร้างแรงบันดาลใจ แต่นั่นคือธีมเก่า ธีมใหม่ในอนาคตเราจะต้อง รัดเข็มขัด ใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น

2 ปีที่ผ่านมา หลายบริษัทโดนกระทบ แต่เราทำสิ่งใหม่ ๆ ของโลกจึงไม่ได้เป็นกลุ่มที่โดนกระทบ จึงคิดว่าต้องช่วยกัน เพย์ฟอร์เวิร์ด ในการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ

เราก็พยายามช่วยสนับสนุนนักกีฬาไทยในหลายวงการ ไม่ว่าจะเป็น ไทยลีก ทีมชาติไทย มีบริจาคเงินสองล้าน สนับสนุนมิสยูนิเวิร์สมา 2 ปีแล้ว โดยเอาเทคโนโลยีมาใช้ ตอนนี้ก็ไปวงการ “บีเคเอฟซี” ชกมวย มวยไทยเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่สำคัญของประเทศ เราสนับสนุนอีสปอร์ตที่ในอนาคตจะใหญ่กว่าเกมกับเพลงรวมกัน

ถ้าเราคิดถึงอังกฤษจะคิดถึงฟุตบอลพรีเมียร์ลีก คิดถึงอเมริกาจะคิดถึงบาสเกตบอลเอ็นบีเอ และเบสบอล ถ้าคิดถึงเมืองไทย ถ้าคิดถึง อีสปอร์ตได้จะดีมาก

อีสปอร์ตจะใหญ่กว่าพรีเมียร์ลีก เอ็นบีเอ เบสบอล รวมกัน เพราะตอนนี้วงการเกมก็ใหญ่กว่าหนังกับเพลงรวมกัน และทุกวงการเป็นเกมฟิเคชั่นจะต้องใส่เข้าในโลกธุรกิจในอนาคต

ฉะนั้นอีสปอร์ตจะเป็นอะไรที่ใหญ่มาก ถ้าเมืองไทย แคปเจอร์การเติบโตใหม่นี้ได้ เงินจะเข้ามามหาศาล