เมื่อ “บิ๊กเทค” ตื่นจากฝัน สู่ความจริงอันโหดร้าย

บิ๊กเทค
คอลัมน์​ : Tech Times
ผู้เขียน : มัชฌิมา จันทร์สว่างภูวนะ

หากช่วงต้นปี 2022 มีคนบอก “ทิม คุก” ซีอีโอ Apple ว่า มาร์เก็ตแคปของ Apple จะหายไปกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ภายในปีเดียว เขาคงคิดว่าอีตาคนที่มาบอกนั้นไม่บ้าก็เมา

เพราะหลังเปิดตลาดวันแรก ในปี 2022 ราคาหุ้น Apple ยังพุ่งไม่หยุด ส่งผลให้กลายเป็นบริษัทมหาชนรายแรกในประวัติศาสตร์ที่มีมาร์เก็ตแคปทะลุ 3 ล้านล้านเหรียญ จนสื่อพากันคาดการณ์ว่า Apple น่าจะมีมูลค่าเกิน 5 ล้านล้านเหรียญในอีกไม่นาน

ในขณะที่เพื่อนบิ๊กเทคอื่น ๆ ก็อู้ฟู่กันทั่วหน้า เพราะนักลงทุนเชื่อว่าความต้องการสินค้า และบริการออนไลน์จะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังพบว่า โควิด-19 น่าจะยังไม่จบง่าย ๆ เมื่อเกิดสายพันธุ์ใหม่อย่างโอมิครอนขึ้นมา บวกกับอัตราดอกเบี้ยที่ยังต่ำมากทำให้หุ้นบิ๊กเทคยังคงความร้อนแรงต่อไป

แต่ปรากฏว่า ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามคาด

ความต้องการของผู้บริโภคลดลงจากช่วงล็อกดาวน์ ส่วนหนึ่งมาจากค่าครองชีพที่สูงขึ้นจากวิกฤตน้ำมัน และปัญหาเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

เพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ “ธนาคารกลาง” ตัดสินใจปรับอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นถึงหลายรอบ ทำให้เทคสตาร์ตอัพมีปัญหาในการเข้าถึงแหล่งทุน ส่วนแพลตฟอร์มออนไลน์ก็อ่วมหนัก เมื่อลูกค้างัดมาตรการรัดเข็มขัดครั้งใหญ่ จนหั่นงบฯโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มไปเยอะมาก

สุดท้ายจากที่เคยแข็งแกร่งที่สุดบนหน้ากระดาน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีกลายเป็นกลุ่มที่ติดลบที่สุดแห่งปี

CNN รายงานว่า มาร์เก็ตแคปของ Apple หล่นมาที่ 2 ล้านล้านเหรียญ หรือหายไปกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ในขณะที่หุ้น Amazon ลดลงกว่า 50% ส่วนมูลค่าของ Meta เจ้าของ Facebook ก็หายไปเกือบ 2 ใน 3 จนมีมูลค่าต่ำกว่า Home Depot ไปแล้ว

เมื่อผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาดก็เกิดการเลย์ออฟขนานใหญ่ทำให้มีพนักงานเทคในอเมริกาตกงานแล้วกว่า 91,000 ราย ในปี 2022 (Crunchbase.com)

แม้กระทั่งตำแหน่งแชมป์ “คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก” ที่เคยเป็นของดาวเด่นแห่งวงการเทคอย่าง “อีลอน มัสก์” ก็หลุดไปสู่มือมหาเศรษฐีวงการแฟชั่น “เบอร์นาร์ด อาร์โนลต์” เจ้าของ LVMH

ปี 2022 จึงเป็นปีที่ทำให้วงการเทคสะบักสะบอมกันทั่วหน้า

จากที่เคยเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่มี “ยูนิคอร์น” เดินเยื้องย่างอย่างมีความสุข ก็กลับกลายเป็นว่าปี 2022 คือ มือปีศาจที่มาเขย่าให้วงการเทคตื่นฝันอันสวยงามสู่โลกแห่งความจริง และยอมรับว่า แม้แต่หัวกะทิของวงการที่เคยยกย่องกันว่าเป็นผู้มีวิสัยทัศน์สุด ๆ ก็ไม่สามารถทำนายอนาคตได้

ไม่อย่างนั้น คนอย่าง “มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก” คงไม่ต้องเขียนจดหมายขอโทษพนักงานที่ “คาดการณ์ผิด” จนสุดท้าย เมื่อทุกอย่างผิดคาด ก็ต้องไล่คนออกโดยปริยาย

หรือ “แอนดี แจสซี” แห่ง Amazon ที่ยอมรับในที่ประชุมเมื่อปลายปีว่า บริษัทยังคงต้องเดินหน้าเอาคนออกต่อไปในปีนี้ และอยากให้สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2022 เป็น “บทเรียน” สำหรับทุกคน

ในขณะที่รายงานของ Ernst & Young ที่เผยแพร่เมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมาระบุว่า รายได้จากการระดมทุนของหุ้น IPO ของกลุ่มเทค ในปี 2022 ลดลงถึง 94% เมื่อเทียบกับปี 2021 หรือลดลงจาก 155.8 พันล้านเหรียญ มาอยู่ที่ 8.6 พันล้านเหรียญเท่านั้น

“ดอน บัทเลอร์” จาก Thomvest Ventures บอก CNBC ว่า ปี 2023 ก็ไม่น่าจะดีกว่าปีก่อนสักเท่าไหร่ เผลอ ๆ อาจแย่กว่าเดิม หากธนาคารกลางสหรัฐยังเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อไป ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างแท้จริง

สิ่งที่ “ซิลิคอน วัลเลย์” ควรทำ คือ การรีเซต culture หรือเปลี่ยน mindset ที่มุ่งที่การเติบโตเป็นหลัก มาเป็นการเพิ่มวินัยหรือประสิทธิภาพในการใช้เงิน และลดการจ้างงานที่ไม่จำเป็น เพื่อให้นักลงทุนเห็นว่า เป็นบริษัทที่มีโอกาสสร้างกำไร ซึ่งนั่นก็อาจช่วยให้เห็นแสงที่ปลายอุโมงค์ได้บ้างแม้จะริบหรี่อยู่ไกล ๆ ก็ตาม