BITE SIZE : แอปสตรีมมิ่งปรับราคา-ตัวหารจ่ายเพิ่ม การหนีตายเพื่ออยู่รอด

Prachachat BITE SIZE
โดย พฤฒินันท์ สุดประเสริฐ

ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้ให้บริการแอปพลิเคชั่นสตรีมมิ่ง มีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ ตั้งแต่การปรับราคาแพ็กเกจสมาชิก และปรับเงื่อนไขการให้บริการ จนทำให้ผู้ใช้บริการหลายรายเริ่มทบทวนถึงความคุ้มค่าของการใช้บริการสตรีมมิ่ง ว่ายังคุ้มค่าที่จะใช้งานต่อ หรือควรยกเลิก

ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงของแอปสตรีมมิ่งในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้ ก็เป็นผลจากตลาตสตรีมมิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งในแง่จำนวนผู้เล่นในตลาด และจำนวนผู้ใช้บริการ

Netflix ปรับราคา-คิดค่าหาร

ย้อนไปเมื่อต้นปีที่ผ่านมา Netflix ประเทศไทย ปรับราคาแพ็กเกจพื้นฐาน (Basic Package) จากเดิมจ่าย 279 บาท เหลือ 169 บาท ซึ่งปรากฎการณ์นี้ สร้างความสนใจให้กับผู้ใช้หน้าใหม่ เลือกใช้บริการมากพอสมควร เพราะทำให้สามารถเข้าถึงคอนเทนต์หนังระดับโลกได้ ในราคาที่จ่ายถูกลง

แต่แล้ว ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา Netflix ประเทศไทย ประกาศกฎการแชร์บัญชีการใช้งาน โดยคิดค่าสมัครสมาชิกเสริม เพื่อเพิ่มสมาชิกคนอื่น ๆ ได้ ในราคา 99 บาท/เดือน/บัญชี และสามารถเพิ่มได้สูงสุด 2 บัญชี ขึ้นกับแพ็กเกจที่มีอยู่

แต่ในภายหลังมีการยืนยันว่า การแชร์บัญชีจะมีผลเมื่อดูผ่านทีวีที่ไม่ใช่เครื่องของบัญชีหลัก
ถ้าเพื่อนอยากดูทางทีวีเพิ่มด้วย ก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกเสริม ส่วนการแชร์เพื่อดูผ่านสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลต อย่างเดียว ยังทำได้ตามปกติ

อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ช่วงหลายเดือนก่อนที่ Netflix ประกาศใช้กฎการแชร์บัญชี ทำให้มีการหยิบเอาข้อความทวิตเตอร์ของ Netflix เมื่อปี 2560 ที่ว่า “Love is sharing a password” ขึ้นมาแซวและตั้งข้อสงสัยถึงการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

Disney+ Hotstar ปรับแพ็กใหม่-ขึ้นราคา

อีกหนึ่งผู้ให้บริการที่เขย่าผู้ใช้แอปสตรีมมิ่งอย่างแรง คือ Disney+ Hotstar ที่ยังเป็นน้องใหม่ในตลาดประเทศไทย เพราะเข้ามาในไทยได้เพียงประมาณ 2 ปีเท่านั้น โดยมีการปรับแพ็กใหม่ จากเดิมมีแค่แพ็กเดียว เดือนละ 99 บาท สามารถดูบนมือถือ ทีวี แล็ปทอปได้ ในระดับความคมชัด 4K

แต่หลังจาก 29 มิถุนายน 2566 เป็นต้นไป แพ็กเกจ 99 บาท/เดือน จะดูได้แค่เฉพาะบนมือถือ แท็บเลต และรับชมในระดับความคมชัด HD (720p) เท่านั้น หากต้องการดูทางทีวีด้วย จะต้องต้องขยับไปจ่ายเพิ่มเป็น 289 บาท/เดือน

ถึงเวลา “แอปสตรีมมิ่ง” หนีตาย หาทางรอด

ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ ตลาดของแอปสตรีมมิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร มีผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดมากขึ้น บรรดาผู้ผลิตคอนเทนต์ ก็ผันตัวมาทำแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งของตัวเอง ขณะเดียวกันผู้ให้บริการบางราย จำต้องยุติการดำเนินธุรกิจ เนื่องด้วยสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป

ทำให้หลายแพลตฟอร์มต้องใช้กระบวนท่าต่าง ๆ เพื่อให้ธุรกิจยังอยู่รอด โดยเฉพาะการสร้างรายได้ ทั้งการขึ้นราคาแพ็กเกจ การปรับเงื่อนไข ซึ่งผลสุดท้าย ลูกค้าก็หายไปอยู่ดี เพราะสภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ยังไม่สดใสเท่าไหร่

อีกกลยุทธ์หนึ่งที่เราจะพบ คือ การเพิ่มโฆษณาเข้าไป ซึ่งทำให้ค่าแพ็กเกจสมาชิกถูกลงได้อีก แต่ก็แลกกับการที่ต้องดูโฆษณาไปด้วย โดยโมเดลนี้ Netflix ได้ใช้ในบางประเทศแล้ว เพื่อเพิ่มช่องทางสร้างรายได้ และสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ แทนลูกค้าแพ็กเกจแบบเดิมที่มีแนวโน้มชะลอตัว

หากเทียบสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดสตรีมมิ่ง กับสิ่งที่เกิดปัจจุบันในตลาดแพลตฟอร์มออนไลน์อื่น ๆ ทั้งแพลตฟอร์มดีลิเวอรี่ และแพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ จะเห็นความคล้ายกัน คือ ในช่วงแรกที่เข้ามา จะจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ยอมขาดทุนช่วงแรก แล้วอัดโปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ

เมื่อผ่านไประยะหนึ่ง แพลตฟอร์มต่าง ๆ จะเลิกเผาเงิน ค่อย ๆ ลดโปรโมชั่นทำนองนี้ไป เพื่อให้ธุรกิจของตัวเองกลับมามีกำไรและยังอยู่ได้

จากนี้ไป ต้องติดตาม การปรับใหญ่ครั้งนี้ ท่ามกลางสมรภูมิตลาดสตรีมมิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป จะมีผลต่อผู้ให้บริการแอปสตรีมมิ่งมากน้อยขนาดไหน แล้วแต่ละผู้ให้บริการจะมีกลยุทธ์ใหม่ ๆ แบบไหน เพื่อเรียกลูกค้ามาใช้บริการให้มากขึ้นอีก

ชมรายการ Prachachat BITE SIZE EP.5 ที่ https://youtu.be/0be_pVtMJxU