
คอลัมน์ : สัมภาษณ์
กลุ่มฟรีแลนซ์ หรือผู้ประกอบอาชีพรับจ้างที่มีรายได้ไม่แน่นอน เป็นกลุ่มที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงินได้อย่างเต็มที่ (Underserved) เพราะการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน จะพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งความสม่ำเสมอของรายได้ พฤติกรรมการใช้จ่าย และความสามารถในการชำระหนี้
เมื่อไม่มีเอกสารแสดงรายได้ที่ชัดเจนจึงถือว่ามีความเสี่ยงสูงสำหรับแบงก์ทั้งหลายทำให้การขออนุมัติสินเชื่อเป็นไปได้ยาก แต่ปัจจุบันมีทางเลือกเพิ่มมากขึ้นสำหรับคนกลุ่มนี้ ด้วยบริการสินเชื่อรายย่อยเพื่อการประกอบอาชีพ หรือ “นาโนไฟแนนซ์” (Nano Finance) ซึ่ง “มันนิกซ์” (MONIX) ฟินเทค สินเชื่อดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชั่น “ฟินนิกซ์” (FINNIX) ในเครือยานแม่ “เอสซีบี เอกซ์” (SCBX)
“ประชาชาติธุรกิจ” มีโอกาสพูดคุยกับ “ถิรนันท์ อรุณวัฒนกูล” ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท มันนิกซ์ จำกัด ในหลากหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของบริษัท การวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้ขอกู้ด้วยดาต้า การแข่งขันระหว่างผู้ให้บริการสินเชื่อ และเป้าหมายที่ต้องการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อลดเหยื่อของหนี้นอกระบบ
จุดเริ่มต้นของมันนิกซ์
“ถิรนันท์” กล่าวว่า ประมาณ 4 ปีก่อน SCB พยายามหาช่องทางในการเข้าถึงกลุ่ม Underserved จึงตัดสินใจสปินออฟบริษัทลูกอย่าง “มันนิกซ์” ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SCBX และ Abakus Group จากจีน เพื่อให้บริการสินเชื่อสำหรับคนรายได้น้อยในปี 2563 กลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มคนที่ต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบ จ่ายดอกเบี้ยปีละ 200-300%
“โครงสร้างและต้นทุนการดำเนินงานของแบงก์แบกรับตลาดตรงนี้ไม่ไหว มันนิกซ์จึงต้องเกิดขึ้นแบบลีนมาก ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ได้มากที่สุด เราเริ่มต้นทุกอย่างโดยทิ้งไมนด์เซตแบบแบงก์ ทีมในช่วงแรกมีแค่ 20 คน ไม่มีการให้บริการหน้าสาขา และเป็น Digital Born ที่รันการทำงานบนคลาวด์ 100%”
“ถิรนันท์” กล่าวต่อว่า จุดยืนของมันนิกซ์ค่อนข้างชัดเจน คือให้สินเชื่อเฉพาะคนที่มีรายได้น้อย วงเงินที่ให้ต่อคนเฉลี่ย 15,000 บาท โดยตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมามีการให้สินเชื่อไปแล้วกว่า 3 หมื่นล้านบาท ส่วนการดาวน์โหลดแอปฟินนิกซ์อยู่ที่ 16 ล้านครั้ง
“จริง ๆ เราถือไลเซนส์ทั้งนาโนไฟแนนซ์และสินเชื่อส่วนบุคคล แต่อย่างหลังเป็นสิ่งที่แบงก์ทำได้ดีอยู่แล้ว เราจึงไม่ลงไปเล่นในตลาดนั้นอีก และโฟกัสแค่อย่างแรก ซึ่งตามกฎของแบงก์ชาติสามารถปล่อยกู้ได้ไม่เกิน 1 แสนบาทต่อคน หรือประมาณ 5 เท่าของรายได้”
พลิกทำกำไรในปีครึ่ง
จากการตรวจสอบข้อมูลบน Creden Data แพลตฟอร์มรวบรวมฐานข้อมูลบริษัทในไทย พบว่า หลังจากเริ่มต้นธุรกิจในปี 2563 มันนิกซ์ขาดทุน 87 ล้านบาท ก่อนจะพลิกทำกำไรได้ในปี 2564 ที่ 16 ล้านบาท และในปี 2565 มีรายได้รวม 1,573 ล้านบาท เป็นกำไรสุทธิ 156 ล้านบาท
“นางเอกที่ทำให้มันนิกซ์พลิกทำกำไรได้ในระยะเวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง คือความสามารถในการควบคุมสัดส่วนหนี้เสีย (NPL) และค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ เรารู้อยู่แล้วว่าบริษัทจะมีรายได้เท่าไร จากการที่เรามีลิมิตในการคิดดอกเบี้ยตามกฎของแบงก์ชาติที่ 33% ต่อปี หมายความว่ายิ่งคุมต้นทุนได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งทำกำไรได้มากเท่านั้น”
ชูกลยุทธ์ 5S
การดำเนินธุรกิจของมันนิกซ์เป็นไปตามกลยุทธ์ 5S ได้แก่ 1.Simple ยื่นขอสินเชื่อได้ง่าย ไม่ซับซ้อน 2.Speed อนุมัติไว 3.Security ระบบต้องมีความปลอดภัย 4.Smart ใช้ดาต้าและ AI ในการประมวลผล และ 5.Scale เข้าถึงคนทั้งประเทศ
“ลูกค้าของเราคือกลุ่มคนหาเช้ากินค่ำ หมายความว่าเขาต้องทำมาหากิน ไม่มีเวลาเตรียมเอกสารต่าง ๆ ดังนั้นทุกอย่างต้องง่ายและเร็ว ถ้าเราการันตีว่าอนุมัติภายใน 5 นาที ก็ต้องเป็นตามนั้น ที่สำคัญ คนกลุ่มนี้จะไม่มีเอกสารแสดงรายได้เหมือนพนักงานประจำ ซึ่งเราจะพิจารณาคุณสมบัติและการอนุมัติสินเชื่อจากการใช้ข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) ผ่านพฤติกรรมการใช้งานมือถือตามการอนุญาตของเจ้าของข้อมูลแทน”
ดาต้า-AI แกนหลักธุรกิจ
“ถิรนันท์” กล่าวว่า ด้วยความที่มันนิกซ์ให้บริการแบบดิจิทัล 100% โครงสร้างพื้นฐานด้านดาต้า คลาวด์ และ AI จึงสำคัญมาก นอกจากจะใช้เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้า หรือผู้ขอกู้ ยังใช้เพื่อเชื่อมอีโคซิสเต็มการทำงานหลังบ้าน เช่น การพัฒนาระบบของทีมวิศวกร การทำการตลาด การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เป็นต้น
“เราให้ความสำคัญกับเรื่องระบบมาก มีการทำงานกับพาร์ตเนอร์ที่เชี่ยวชาญด้านคลาวด์อย่าง Amazon Web Services (AWS) รวมถึงสร้างทีมที่มีความพร้อมเรื่องการพัฒนาระบบ โดยมากกว่าครึ่งของทีมงานมันนิกซ์ในปัจจุบัน ที่มีประมาณ 80 คน แบ่งเป็นทีมงานที่ไทยและจีนอย่างละ 40 คน เป็นทีมดาต้าและนักพัฒนา”
เน้นสร้างคอมมิวนิตี้
ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ธนาคารหลายแห่งเข้ามาจับตลาดกลุ่ม Underserved มากขึ้น ทำให้จำนวนของผู้ให้บริการนาโนไฟแนนซ์เพิ่มขึ้นตามไปด้วย สำหรับกลยุทธ์ที่มันนิกซ์ใช้ในการสื่อสารกับลูกค้าจะเน้นที่การสร้าง คอมมิวนิตี้ พูดคุยกับลูกค้าบ่อย ๆ เพื่อสร้างสัมพันธ์ระหว่างกัน (Communication Marketing)
“เรารู้อยู่แล้วว่าลูกค้าของเราเป็นใคร ไม่จำเป็นต้องทำการตลาดแบบแมส หรือติดป้ายบิลบอร์ดให้เปลืองงบฯ เรามั่นใจว่าพูดคุยกับลูกค้าผ่านช่องทางของเราบ่อยมาก ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของผลิตภัณฑ์ แต่รวมถึงเรื่องทั่วไปที่เป็นกระแสด้วย เช่น การเตือนภัยมิจฉาชีพ และสีมงคล ที่สำคัญ บอกอะไรกับลูกค้าไปต้องทำให้ได้ อย่างเรื่องการอนุมัติไว ถ้าเราทำได้จริง ลูกค้าจะบอกกันปากต่อปาก ทำให้คนอื่น ๆ รู้จักเรามากขึ้น”
เป็นมากกว่าผู้ให้สินเชื่อ
“ถิรนันท์” กล่าวด้วยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2567 จะเน้นสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ระมัดระวังเรื่องของสัดส่วน NPL พร้อมทั้งศึกษาพฤติกรรมของลูกค้าช่วงหลังโควิด เพื่อตั้งรับความเปลี่ยนแปลง ทดลองสิ่งใหม่ ๆ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการหรือพฤติกรรมของลูกค้ามากขึ้น
“พฤติกรรมของลูกค้าคือเบิกเงินไม่เยอะ แต่ต้องการใช้อย่างรวดเร็ว ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของเราจึงเป็นสินเชื่อวงเงินหมุนเวียน (Cash Revolving) สมมุติเบิกออกไป 2,000 บาท อีก 3 วันมาโปะคืน ถ้าพฤติกรรมเปลี่ยนก็ต้องดูว่าเราจะปรับหรือเพิ่มรูปแบบของผลิตภัณฑ์อย่างไร”
นอกจากมันนิกซ์จะให้บริการด้านสินเชื่อแล้ว ยังมีบริการอื่น ๆ ที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตของลูกค้า เช่น ช่วยหางาน ออกแบบคอร์สเรียนให้ความรู้ด้านการเงิน เสริมสร้างการมีเครดิตที่ดี พัฒนา Finnix Coin สะสมความดีแลกส่วนลดดอกเบี้ย พร้อมทั้งจับมือกับพาร์ตเนอร์แจกโค้ดส่วนลด เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อสินค้า
“เราต้องอยู่ได้อย่างยั่งยืน เพื่อที่ลูกค้าจะได้มีที่พึ่งในการกู้เงินในระบบ และไม่กลับไปเป็นเหยื่อของพวกหนี้นอกระบบ ที่พอไม่จ่ายเงินก็ตามทวงหนี้ถึงบ้าน ทั้งใช้ความรุนแรงและประจานให้อับอาย”